逐节对照
- พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย - โมเสสนำพวกเขาออกจากอียิปต์ และได้ทำหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ต่างๆ ในอียิปต์ที่ทะเลแดง และตลอดสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดาร
- 新标点和合本 - 这人领百姓出来,在埃及,在红海,在旷野,四十年间行了奇事神迹。
- 和合本2010(上帝版-简体) - 这人领以色列人出来,在埃及地,在红海,在旷野的四十年间行了奇事神迹。
- 和合本2010(神版-简体) - 这人领以色列人出来,在埃及地,在红海,在旷野的四十年间行了奇事神迹。
- 当代译本 - 摩西带领以色列人出埃及,过红海,越旷野,四十年间行了许多神迹奇事。
- 圣经新译本 - 这人领他们出来,并且在埃及地、红海和旷野,行奇事神迹四十年。
- 中文标准译本 - 这个人带领以色列子民出来,在埃及地、在红海,并且在旷野的四十年间,行了奇事和神迹。
- 现代标点和合本 - 这人领百姓出来,在埃及,在红海,在旷野四十年间,行了奇事神迹。
- 和合本(拼音版) - 这人领百姓出来,在埃及,在红海,在旷野,四十年间行了奇事神迹。
- New International Version - He led them out of Egypt and performed wonders and signs in Egypt, at the Red Sea and for forty years in the wilderness.
- New International Reader's Version - So Moses led them out of Egypt. He did wonders and signs in Egypt, at the Red Sea, and for 40 years in the desert.
- English Standard Version - This man led them out, performing wonders and signs in Egypt and at the Red Sea and in the wilderness for forty years.
- New Living Translation - And by means of many wonders and miraculous signs, he led them out of Egypt, through the Red Sea, and through the wilderness for forty years.
- Christian Standard Bible - This man led them out and performed wonders and signs in the land of Egypt, at the Red Sea, and in the wilderness for forty years.
- New American Standard Bible - This man led them out, performing wonders and signs in the land of Egypt and in the Red Sea, and in the wilderness for forty years.
- New King James Version - He brought them out, after he had shown wonders and signs in the land of Egypt, and in the Red Sea, and in the wilderness forty years.
- Amplified Bible - This man led them out [of Egypt] after performing wonders and signs in the land of Egypt and at the Red Sea and in the wilderness for forty years.
- American Standard Version - This man led them forth, having wrought wonders and signs in Egypt, and in the Red sea, and in the wilderness forty years.
- King James Version - He brought them out, after that he had shewed wonders and signs in the land of Egypt, and in the Red sea, and in the wilderness forty years.
- New English Translation - This man led them out, performing wonders and miraculous signs in the land of Egypt, at the Red Sea, and in the wilderness for forty years.
- World English Bible - This man led them out, having worked wonders and signs in Egypt, in the Red Sea, and in the wilderness for forty years.
- 新標點和合本 - 這人領百姓出來,在埃及,在紅海,在曠野,四十年間行了奇事神蹟。
- 和合本2010(上帝版-繁體) - 這人領以色列人出來,在埃及地,在紅海,在曠野的四十年間行了奇事神蹟。
- 和合本2010(神版-繁體) - 這人領以色列人出來,在埃及地,在紅海,在曠野的四十年間行了奇事神蹟。
- 當代譯本 - 摩西帶領以色列人出埃及,過紅海,越曠野,四十年間行了許多神蹟奇事。
- 聖經新譯本 - 這人領他們出來,並且在埃及地、紅海和曠野,行奇事神蹟四十年。
- 呂振中譯本 - 是這個人領族民出來,在 埃及 、在 紅海 、在野地、行了奇事神迹四十年。
- 中文標準譯本 - 這個人帶領以色列子民出來,在埃及地、在紅海,並且在曠野的四十年間,行了奇事和神蹟。
- 現代標點和合本 - 這人領百姓出來,在埃及,在紅海,在曠野四十年間,行了奇事神蹟。
- 文理和合譯本 - 彼率民出、行奇事異蹟於埃及 紅海、曠野、四十年、
- 文理委辦譯本 - 率民出其地、行奇事異跡於埃及、紅海、曠野、四十年、○
- 施約瑟淺文理新舊約聖經 - 彼率民出、行異跡奇事、在 伊及 、在紅海、在曠野、歷四十年、
- 吳經熊文理聖詠與新經全集 - 率眾而出於 埃及 、 紅海 與曠野之中、廣行靈異凡四十年者、即此 摩西 也。
- Nueva Versión Internacional - Él los sacó de Egipto haciendo prodigios y señales milagrosas tanto en la tierra de Egipto como en el Mar Rojo, y en el desierto durante cuarenta años.
- 현대인의 성경 - 그는 이집트에서 자기 백성을 인도해 내었으며 이집트와 홍해와 광야에서 40년 동안 놀라운 일과 기적을 행했습니다.
- Новый Русский Перевод - Моисей вывел их из Египта, совершая чудеса и знамения в Египте, у Красного моря и в пустыне на протяжении сорока лет.
- Восточный перевод - Муса вывел народ, совершая чудеса и знамения в Египте, у Красного моря и в пустыне на протяжении сорока лет.
- Восточный перевод, версия с «Аллахом» - Муса вывел народ, совершая чудеса и знамения в Египте, у Красного моря и в пустыне на протяжении сорока лет.
- Восточный перевод, версия для Таджикистана - Мусо вывел народ, совершая чудеса и знамения в Египте, у Красного моря и в пустыне на протяжении сорока лет.
- La Bible du Semeur 2015 - C’est lui qui les fit sortir d’Egypte en accomplissant des prodiges et des signes miraculeux dans ce pays, puis lors de la traversée de la mer Rouge et, pendant quarante ans, dans le désert.
- リビングバイブル - モーセは、数々の驚くべき奇跡によって、人々をエジプトから連れ出し、紅海を横断して、四十年にわたる荒野での生活を導きました。
- Nestle Aland 28 - οὗτος ἐξήγαγεν αὐτοὺς ποιήσας τέρατα καὶ σημεῖα ἐν γῇ Αἰγύπτῳ καὶ ἐν ἐρυθρᾷ θαλάσσῃ καὶ ἐν τῇ ἐρήμῳ ἔτη τεσσεράκοντα.
- unfoldingWord® Greek New Testament - οὗτος ἐξήγαγεν αὐτοὺς, ποιήσας τέρατα καὶ σημεῖα ἐν γῇ Αἰγύπτῳ, καὶ ἐν Ἐρυθρᾷ Θαλάσσῃ, καὶ ἐν τῇ ἐρήμῳ, ἔτη τεσσεράκοντα.
- Nova Versão Internacional - Ele os tirou de lá, fazendo maravilhas e sinais no Egito, no mar Vermelho e no deserto durante quarenta anos.
- Hoffnung für alle - und Mose führte das Volk aus Ägypten. Überall vollbrachte er Zeichen und Wunder: in Ägypten, am Roten Meer und während der vierzig Jahre in der Wüste.
- Kinh Thánh Hiện Đại - Chính Môi-se đã hướng dẫn họ ra khỏi Ai Cập, thực hiện nhiều phép lạ và việc diệu kỳ tại xứ Ai Cập, trên Biển Đỏ, trong hoang mạc suốt bốn mươi năm.
- พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ - โมเสสได้นำผู้คนออกไปจากประเทศอียิปต์ และกระทำสิ่งมหัศจรรย์ รวมทั้งปรากฏการณ์อัศจรรย์ในประเทศอียิปต์ ที่ทะเลแดงและในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี
交叉引用
- กิจการของอัครทูต 13:18 - พระองค์ทรงอดทนต่อความประพฤติของเหล่าบรรพบุรุษ เป็นเวลาสี่สิบปีในถิ่นกันดาร
- สดุดี 136:9 - ทรงให้ดวงจันทร์และดวงดาวครองกลางคืน ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์
- สดุดี 136:10 - จงขอบพระคุณพระองค์ผู้ทรงประหารลูกหัวปีของอียิปต์ ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์
- สดุดี 136:11 - และทรงนำอิสราเอลออกมาจากท่ามกลางพวกเขา ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์
- สดุดี 136:12 - ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และพระกรที่เหยียดออก ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์
- สดุดี 136:13 - จงขอบพระคุณพระองค์ผู้ทรงแยกทะเลแดง ออกเป็นทาง ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์
- สดุดี 136:14 - และทรงนำอิสราเอลข้ามทะเลไป ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์
- สดุดี 136:15 - แต่ทรงให้ฟาโรห์กับกองทัพจมลงในทะเลแดง ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์
- สดุดี 136:16 - จงขอบพระคุณพระองค์ผู้ทรงนำประชากรของพระองค์ผ่านถิ่นกันดาร ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์
- สดุดี 136:17 - ผู้ทรงโค่นล้มกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์
- สดุดี 136:18 - ทรงประหารบรรดากษัตริย์ผู้เกรียงไกร ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์
- สดุดี 136:19 - คือกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์ ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์
- สดุดี 136:20 - และกษัตริย์โอกแห่งบาชาน ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์
- สดุดี 136:21 - และประทานดินแดนของพวกเขาให้เป็นกรรมสิทธิ์ ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์
- เฉลยธรรมบัญญัติ 6:21 - จงบอกเขาว่า “พวกเราเคยเป็นทาสของฟาโรห์อยู่ในอียิปต์ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำเราออกมาจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์
- เฉลยธรรมบัญญัติ 6:22 - องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำหมายสำคัญและปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่น่าสะพรึงกลัวแก่อียิปต์ และแก่ฟาโรห์รวมทั้งราชวงศ์ทั้งปวงของพระองค์ต่อหน้าต่อตาเรา
- สดุดี 106:17 - ธรณีจึงแยกออกและกลืนดาธาน มันฝังอาบีรัมกับพวก
- สดุดี 106:18 - ไฟปะทุขึ้นในหมู่สมัครพรรคพวกของเขา เปลวไฟเผาผลาญเหล่าคนชั่ว
- เนหะมีย์ 9:12 - พระองค์ทรงนำพวกเขาด้วยเสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืนเพื่อให้ความสว่างตามทางที่จะไป
- เนหะมีย์ 9:13 - “พระองค์เสด็จลงมาเหนือภูเขาซีนายและตรัสกับเขาเหล่านั้นจากฟ้าสวรรค์ และประทานกฎระเบียบกับบทบัญญัติที่เที่ยงตรงและถูกต้องและประทานกฎหมายกับพระบัญชาอันดีงาม
- เนหะมีย์ 9:14 - พระองค์ทรงสอนพวกเขาให้รู้จักสะบาโตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และประทานพระบัญชา กฎหมาย และบทบัญญัติผ่านทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์
- เนหะมีย์ 9:15 - ยามพวกเขาหิว พระองค์ประทานอาหารจากฟ้าสวรรค์ ยามพวกเขากระหายก็ประทานน้ำจากศิลา พระองค์ทรงบัญชาให้พวกเขาเข้าไปยึดครองดินแดนซึ่งพระองค์ได้ทรงยกพระหัตถ์ปฏิญาณมอบให้แก่พวกเขาแล้ว
- อพยพ 19:1 - ในเดือนที่สามหลังจากชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ ในวันนั้นพวกเขาก็มาถึงถิ่นกันดารซีนาย
- อพยพ 19:2 - เมื่อเขาเดินทางออกจากเรฟีดิมแล้ว พวกเขาก็เข้าเขตถิ่นกันดารซีนายและชาวอิสราเอลตั้งค่ายหน้าภูเขาซีนาย
- อพยพ 19:3 - แล้วโมเสสขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกเขาจากภูเขานั้นและตรัสว่า “เจ้าจงบอกพงศ์พันธุ์ของยาโคบและจงกล่าวแก่ประชากรอิสราเอลว่า
- อพยพ 19:4 - ‘พวกเจ้าเองได้เห็นสิ่งที่เรากระทำแก่ชาวอียิปต์แล้ว และเห็นวิธีที่เราพาเจ้ามาเหมือนลูกนกอินทรีบนปีกแม่ของมัน และนำเจ้ามาถึงเรา
- อพยพ 19:5 - บัดนี้หากเจ้าทั้งหลายเชื่อฟังเราอย่างหมดใจและรักษาพันธสัญญาของเรา เจ้าก็จะเป็นกรรมสิทธิ์ล้ำค่าของเราจากประชาชาติทั้งปวงทั่วโลก ถึงแม้ทั้งโลกนี้เป็นของเรา
- อพยพ 19:6 - แต่เจ้า จะเป็นอาณาจักรแห่งปุโรหิตและเป็นชนชาติที่บริสุทธิ์สำหรับเรา’ เจ้าจงบอกชนชาติอิสราเอลตามนี้”
- อพยพ 19:7 - โมเสสจึงกลับลงมาจากภูเขา แล้วเรียกประชุมผู้อาวุโสของอิสราเอลมาแจ้งให้พวกเขาทราบทุกถ้อยคำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้เขากล่าว
- อพยพ 19:8 - ประชากรทั้งปวงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราจะทำทุกสิ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่ง” โมเสสจึงนำคำตอบของพวกเขามากราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า
- อพยพ 19:9 - องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราจะมาหาเจ้าในเมฆหนาทึบ เพื่อเหล่าประชากรจะได้ยินเสียงเราพูดกับเจ้า และเขาจะได้ไว้วางใจในตัวเจ้าเสมอไป” โมเสสจึงกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าตามคำของประชากร
- อพยพ 19:10 - องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงไปหาเหล่าประชากร ชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ทั้งวันนี้และวันพรุ่งนี้ ให้เขาซักเสื้อผ้า
- อพยพ 19:11 - และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันที่สาม เพราะในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะลงมาที่ภูเขาซีนายต่อหน้าประชากรทั้งปวง
- อพยพ 19:12 - จงกำหนดเขตห้ามประชากรล่วงล้ำเข้ามาบริเวณภูเขา บอกเขาว่า ‘จงระวังให้ดี อย่าให้ใครขึ้นมาบนภูเขาหรือแตะต้องเชิงเขานั้น ใครแตะต้องภูเขานั้นจะมีโทษถึงตาย
- อพยพ 19:13 - อย่าให้มือของใครแตะต้องผู้ที่ฝ่าฝืนนั้น แต่ให้เอาหินขว้างเขาหรือยิงด้วยลูกธนูจนตาย ไม่ว่าเป็นคนหรือสัตว์ เมื่อฝ่าฝืนจะต้องตาย’ และประชาชนจะขึ้นไปบนภูเขาได้ก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์เป็นสัญญาณยาวหนึ่งครั้งแล้วเท่านั้น”
- อพยพ 19:14 - จากนั้นโมเสสจึงลงจากภูเขามาหาเหล่าประชากร เขาชำระประชากรให้บริสุทธิ์และให้พวกเขาซักเสื้อผ้าของตนให้สะอาด
- อพยพ 19:15 - แล้วเขาบอกกับประชากรว่า “จงเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันที่สาม จงงดเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้”
- อพยพ 19:16 - เช้าวันที่สามมีฟ้าแลบฟ้าร้องน่าสะพรึงกลัวและมีเมฆทะมึนปกคลุมภูเขานั้น แล้วมีเสียงเป่าแตรดังก้อง ทุกคนในค่ายตกใจกลัวจนตัวสั่น
- อพยพ 19:17 - โมเสสจึงนำพวกเขาออกจากค่ายพักมาเข้าเฝ้าพระเจ้า พวกเขายืนอยู่ที่เชิงเขา
- อพยพ 19:18 - มีควันหนาทึบปกคลุมภูเขาซีนาย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาโดยไฟ ควันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนควันจากเตาหลอม ทั้งภูเขา สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
- อพยพ 19:19 - เสียงแตรดังก้องขึ้นเรื่อยๆ โมเสสจึงทูลพระเจ้า และมีพระสุรเสียงของพระองค์ตรัสตอบเขา
- อพยพ 19:20 - องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาที่ยอดเขาซีนายและตรัสเรียกโมเสสขึ้นบนยอดเขา โมเสสก็ขึ้นไป
- กันดารวิถี 16:1 - โคราห์บุตรอิสฮาร์ ผู้เป็นบุตรของโคฮาท ผู้เป็นบุตรของเลวี และชายเผ่ารูเบนคือดาธานกับอาบีรัมบุตรเอลีอับ และโอนบุตรเปเลท มีใจเหิมเกริม
- กันดารวิถี 16:2 - และลุกฮือขึ้นต่อต้านโมเสส มีผู้นำที่มีชื่อเสียง 250 คนซึ่งเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภามาเข้าพวกด้วย
- กันดารวิถี 16:3 - พวกเขารวมตัวกันต่อต้านโมเสสกับอาโรน และกล่าวกับเขาทั้งสองว่า “ท่านทำเกินไปแล้ว! ชุมชนทั้งหมดล้วนบริสุทธิ์และองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่กับพวกเขา ทำไมท่านจึงตั้งตัวอยู่เหนือชุมนุมประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้า?”
- กันดารวิถี 16:4 - เมื่อโมเสสได้ยินเช่นนี้ก็หมอบกราบซบหน้าลง
- กันดารวิถี 16:5 - แล้วเขากล่าวกับโคราห์และพรรคพวกว่า “พรุ่งนี้เช้าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแสดงให้เห็นว่าใครเป็นคนของพระองค์ ใครเป็นผู้บริสุทธิ์ และพระองค์จะทรงให้ผู้นั้นเข้ามาใกล้พระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงเลือก พระองค์จะทรงให้เข้าใกล้ชิดพระองค์
- กันดารวิถี 16:6 - โคราห์และพรรคพวกของท่านทุกคนจงทำอย่างนี้
- กันดารวิถี 16:7 - พรุ่งนี้จงเอากระถางไฟมาจุด แล้วใส่เครื่องหอมต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกจะเป็นผู้บริสุทธิ์ ลูกหลานเลวีเอ๋ยท่านทำเกินไปแล้ว!”
- กันดารวิถี 16:8 - โมเสสกล่าวกับโคราห์ด้วยว่า “ฟังเถิด คนเลวีเอ๋ย!
- กันดารวิถี 16:9 - ยังไม่พอหรือที่พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงเลือกท่านจากชุมนุมประชากรอิสราเอลให้เข้ามาใกล้พระองค์ มาปฏิบัติหน้าที่ในพลับพลาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและได้ยืนอยู่ต่อหน้าชุมชนอิสราเอลเพื่อปรนนิบัติพวกเขา
- กันดารวิถี 16:10 - พระเจ้าได้ทรงนำท่านกับพี่น้องทุกคนในเผ่าเลวีมาใกล้พระองค์ แต่นี่ท่านจะเรียกร้องเอาตำแหน่งปุโรหิตด้วย
- กันดารวิถี 16:11 - ที่ท่านกับพวกรวมตัวกันมาอย่างนี้ เป็นการต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้าอาโรนเป็นใครเล่าที่ท่านจะมาบ่นว่าเขา?”
- กันดารวิถี 16:12 - แล้วโมเสสจึงเรียกดาธานและอาบีรัมบุตรเอลีอับมาพบ แต่คนทั้งสองพูดว่า “เราจะไม่ไป!
- กันดารวิถี 16:13 - ที่ท่านพาเราออกมาจากดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง เพื่อมาฆ่าในถิ่นกันดารนี้ยังไม่พอหรือ? และบัดนี้ยังอยากเป็นเจ้าเป็นนายเหนือพวกเราอีกหรือ?
- กันดารวิถี 16:14 - มิหนำซ้ำท่านก็ไม่ได้พาเราเข้าสู่ดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมน้ำผึ้ง หรือยกไร่นา สวนองุ่นให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเราเลย คิดจะตบตา คนพวกนี้หรือ? เราจะไม่ไป!”
- กันดารวิถี 16:15 - โมเสสโกรธมากและกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ขออย่าทรงรับเครื่องบูชาของพวกเขาเลย ข้าพระองค์ไม่เคยแม้แต่ริบลาของพวกเขามาสักตัวหนึ่งและไม่เคยทำผิดต่อพวกเขาเลย”
- กันดารวิถี 16:16 - โมเสสกล่าวกับโคราห์ว่า “พรุ่งนี้ท่านกับพรรคพวกจงมาเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าอาโรนก็จะมาด้วย
- กันดารวิถี 16:17 - แต่ละคนจงเอากระถางไฟใส่เครื่องหอมมาคนละหนึ่งกระถาง รวมทั้งหมด 250 กระถาง มาต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าท่านและอาโรนก็จะเอากระถางไฟมาถวายด้วย”
- สดุดี 135:8 - พระองค์ทรงประหารลูกหัวปีของอียิปต์ ลูกหัวปีทั้งของคนและของสัตว์
- สดุดี 135:9 - อียิปต์เอ๋ย พระองค์ทรงส่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ มาท่ามกลางพวกเจ้า มาต่อสู้ฟาโรห์กับบรรดาผู้รับใช้ทั้งสิ้นของเขา
- สดุดี 135:10 - พระองค์ทรงห้ำหั่นชนชาติต่างๆ ทรงประหารกษัตริย์ผู้เกรียงไกร
- สดุดี 135:11 - คือกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์ กษัตริย์โอกแห่งบาชาน และกษัตริย์ทั้งหมดในคานาอัน
- สดุดี 135:12 - และพระองค์ทรงยกดินแดนของพวกเขาให้เป็นกรรมสิทธิ์ ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของอิสราเอลประชากรของพระองค์
- เนหะมีย์ 9:10 - พระองค์ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ เพื่อต่อสู้กับฟาโรห์ เหล่าข้าราชบริพาร และชาวอียิปต์ทั้งปวง เพราะทรงทราบว่าชาวอียิปต์ปฏิบัติต่อบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างเย่อหยิ่ง พระองค์ทรงทำให้พระนามของพระองค์เลื่องลือมาจนถึงทุกวันนี้
- สดุดี 105:39 - พระองค์ทรงแผ่เมฆเป็นร่มกำบังให้ และประทานไฟให้แสงสว่างในยามค่ำคืน
- สดุดี 105:40 - พวกเขาร้องขอเนื้อ พระองค์ก็ทรงส่งนกคุ่มมา พระองค์ทรงเลี้ยงพวกเขาให้อิ่มเอมด้วยอาหารจากสวรรค์
- สดุดี 105:41 - พระองค์ทรงเปิดศิลา น้ำก็พุ่งออกมา มันไหลดั่งแม่น้ำในถิ่นกันดาร
- สดุดี 105:42 - เพราะพระองค์ทรงระลึกถึงพระสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ประทานแก่อับราฮัมผู้รับใช้ของพระองค์
- สดุดี 105:43 - พระองค์จึงทรงนำประชากรของพระองค์ออกมาด้วยความชื่นบาน นำผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรออกมาด้วยเสียงโห่ร้องยินดี
- สดุดี 105:44 - พระองค์ประทานดินแดนของชนชาติต่างๆ แก่เขา พวกเขาได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ในสิ่งที่คนอื่นลงแรงไว้
- สดุดี 105:45 - ทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะได้รักษาข้อบังคับ และทำตามบทบัญญัติของพระองค์ จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
- กันดารวิถี 20:1 - ชุมชนอิสราเอลทั้งปวงมาถึงถิ่นกันดารศินในเดือนที่หนึ่ง และตั้งค่ายพักแรมที่คาเดช มิเรียมสิ้นชีวิตลงและถูกฝังไว้ที่นั่น
- กันดารวิถี 20:2 - ที่แห่งนั้นไม่มีน้ำให้ประชากรดื่ม พวกเขาจึงรวมตัวกันต่อต้านโมเสสกับอาโรนอีก
- กันดารวิถี 20:3 - พวกเขาโต้เถียงกับโมเสสและกล่าวว่า “เราน่าจะตายพร้อมกับพี่น้องของเราซึ่งล้มตายต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า!
- กันดารวิถี 20:4 - เหตุใดท่านจึงนำชุมชนขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาตายในถิ่นกันดารนี้ รวมทั้งฝูงสัตว์เลี้ยงของเราด้วย?
- กันดารวิถี 20:5 - ทำไมถึงให้เราออกจากอียิปต์มาอยู่ในที่เลวร้ายเช่นนี้? ไม่มีเมล็ดข้าวหรือมะเดื่อ องุ่น หรือทับทิม มิหนำซ้ำยังไม่มีน้ำให้ดื่ม!”
- กันดารวิถี 20:6 - โมเสสกับอาโรนออกจากชุมนุมประชากร ไปยังทางเข้าเต็นท์นัดพบและหมอบกราบซบหน้าลง และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏต่อพวกเขา
- กันดารวิถี 20:7 - องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
- กันดารวิถี 20:8 - “จงเอาไม้เท้ามา แล้วเจ้ากับอาโรนพี่ชายของเจ้าจงเรียกประชากรมารวมกัน จงพูดกับศิลานั้นต่อหน้าพวกเขาและศิลานั้นจะหลั่งน้ำออกมา เจ้าจะให้น้ำแก่ชุมชนจากศิลานั้น เพื่อทั้งคนและสัตว์จะได้ดื่มกิน”
- กันดารวิถี 20:9 - ดังนั้นโมเสสจึงนำไม้เท้าจากเบื้องหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้ามาตามที่ตรัสสั่ง
- กันดารวิถี 20:10 - เขากับอาโรนเรียกประชากรมารวมกันที่หน้าศิลา และโมเสสพูดกับพวกเขาว่า “ฟังนะ เจ้าพวกกบฏ เราจะต้องเอาน้ำออกจากศิลานี้ให้พวกเจ้าหรือ?”
- กันดารวิถี 20:11 - แล้วโมเสสก็เงื้อไม้เท้าขึ้นฟาดก้อนหินสองครั้ง น้ำจึงพุ่งออกมา ทั้งคนและสัตว์ได้ดื่มกิน
- กันดารวิถี 20:12 - แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “เพราะเจ้าไม่ได้เชื่อเรามากพอ ไม่ได้ให้เกียรติเราในฐานะองค์บริสุทธิ์ต่อหน้าชนอิสราเอล เจ้าจะไม่ได้พาชุมชนนี้เข้าสู่ดินแดนที่เรายกให้เขา”
- กันดารวิถี 20:13 - สถานที่นั้นได้ชื่อว่าเมรีบาห์ เพราะเป็นที่ซึ่งประชากรอิสราเอลโต้แย้งกับองค์พระผู้เป็นเจ้าและที่นั่นพระองค์ทรงสำแดงพระองค์เองว่าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางพวกเขา
- กันดารวิถี 20:14 - โมเสสส่งผู้สื่อสารจากคาเดชไปยังกษัตริย์เอโดมว่า “ชาวอิสราเอลพี่น้องของท่านกล่าวเช่นนี้ว่า ท่านคงทราบเรื่องราวความทุกข์ยากลำบากของเราทั้งหมดแล้ว
- กันดารวิถี 20:15 - บรรพบุรุษของเราไปยังอียิปต์ และพวกเราก็อาศัยอยู่ที่นั่นหลายปี ชาวอียิปต์ข่มเหงรังแกเรากับบรรพบุรุษ
- กันดารวิถี 20:16 - แต่เมื่อเราร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงได้ยินและทรงส่งทูตองค์หนึ่งนำเราออกมาจากอียิปต์ “บัดนี้เราตั้งค่ายพักอยู่ที่คาเดช ซึ่งเป็นเมืองชายแดนของท่าน
- กันดารวิถี 20:17 - โปรดอนุญาตให้เราผ่านแดน เราจะไม่ล่วงล้ำไร่นาหรือสวนองุ่นของท่าน เราจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อของท่าน แต่จะไปตามทางหลวง และจะไม่หันไปทางซ้ายหรือทางขวาจนกว่าจะผ่านพ้นเขตแดนของท่าน”
- กันดารวิถี 20:18 - แต่เอโดมตอบว่า “จงถอยไป ขืนฝ่าเข้ามาในพรมแดนของเรา เราจะยกพลออกไปโจมตีพวกเจ้าด้วยดาบ”
- กันดารวิถี 20:19 - ชนอิสราเอลตอบว่า “พวกเราจะไปตามทางหลวง หากเราหรือสัตว์ของเราดื่มน้ำของท่าน เราจะจ่ายค่าตอบแทน เราเพียงแต่ต้องการเดินผ่านไปเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเคลือบแฝง”
- กันดารวิถี 20:20 - แต่พวกเขาตอบว่า “ห้ามผ่านเขตแดน” จากนั้นเอโดมยกทัพใหญ่และมีอานุภาพมากออกมาต่อสู้กับพวกเขา
- กันดารวิถี 20:21 - ในเมื่อเอโดมไม่ยอมให้ผ่านเขตแดน อิสราเอลจึงเปลี่ยนเส้นทาง
- สดุดี 95:10 - ตลอดสี่สิบปีเราโกรธคนในชั่วอายุนั้น และเรากล่าวว่า “พวกเขาเป็นชนชาติที่ใจหลงเตลิด และพวกเขาไม่รู้จักวิถีทางของเรา”
- กิจการของอัครทูต 7:42 - แต่พระเจ้าทรงหันหลังให้พวกเขาและทรงปล่อยให้พวกเขานมัสการสิ่งต่างๆ ในท้องฟ้า เป็นจริงตามที่เขียนไว้ในหนังสือของบรรดาผู้เผยพระวจนะว่า “ ‘พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ตลอดสี่สิบปีในถิ่นกันดาร เจ้าได้ถวายเครื่องบูชาและมอบของถวายแก่เราหรือ?
- สดุดี 78:12 - พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตาบรรพบุรุษของเขา ในดินแดนอียิปต์ ในเขตแดนโศอัน
- สดุดี 78:13 - พระองค์ทรงแยกทะเลและนำพวกเขาเดินข้ามไป พระองค์ทรงทำให้น้ำตั้งขึ้นเป็นกำแพง
- สดุดี 78:14 - พระองค์ทรงนำเขาด้วยเมฆในยามกลางวัน และด้วยแสงจากไฟในยามกลางคืน
- สดุดี 78:15 - พระองค์ทรงแยกศิลาออกในถิ่นกันดาร ประทานน้ำพุ่งขึ้นมามากมายเหมือนทะเลให้เขาดื่ม
- สดุดี 78:16 - พระองค์ทรงทำให้ธารน้ำไหลออกมาจากศิลา และให้น้ำไหลรินดั่งแม่น้ำ
- สดุดี 78:17 - ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงทำบาปต่อพระองค์ กบฏต่อองค์ผู้สูงสุดในถิ่นกันดาร
- สดุดี 78:18 - พวกเขาจงใจลองดีกับพระเจ้า โดยเรียกร้องอาหารที่อยากกิน
- สดุดี 78:19 - เขาต่อว่าพระเจ้าว่า “พระเจ้าทรงจัดสำรับ ในถิ่นกันดารได้หรือ?
- สดุดี 78:20 - เมื่อทรงตีหิน น้ำก็พุ่งออกมา ลำธารไหลล้น แต่พระองค์จะประทานอาหารให้พวกเราได้ด้วยหรือ? พระองค์จะประทานเนื้อให้คนของพระองค์ได้ด้วยหรือ?”
- สดุดี 78:21 - เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยิน พระองค์ก็กริ้วยิ่งนัก เพลิงของพระองค์เผาผลาญยาโคบ พระพิโรธพลุ่งขึ้นต่อสู้อิสราเอล
- สดุดี 78:22 - เพราะพวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้า หรือไว้วางใจว่าพระองค์จะทรงช่วยกู้ได้
- สดุดี 78:23 - ถึงกระนั้นพระองค์ยังทรงบัญชาฟ้าเบื้องบน และทรงเปิดประตูสวรรค์
- สดุดี 78:24 - พระองค์ทรงให้มานาโปรยปรายลงมาเป็นอาหารของพวกเขา พระองค์ประทานธัญญาหารจากฟ้าสวรรค์แก่พวกเขา
- สดุดี 78:25 - มนุษย์ได้กินอาหารของทูตสวรรค์ พระองค์ประทานอาหารแก่พวกเขาจนอิ่มหนำ
- สดุดี 78:26 - พระองค์ทรงให้ลมตะวันออกมาจากฟ้าสวรรค์ และทรงนำลมใต้มาโดยพระเดชานุภาพ
- สดุดี 78:27 - พระองค์ทรงให้เนื้อตกลงมามากมายดั่งฝุ่น คือฝูงนกคลาคล่ำดั่งเม็ดทรายที่ชายทะเล
- สดุดี 78:28 - พระองค์ทรงกระทำให้นกเหล่านั้นลงมาที่ค่ายพักแรม รอบๆ เต็นท์ของพวกเขา
- สดุดี 78:29 - พวกเขาได้รับประทานจนอิ่มหนำ เพราะพระองค์ประทานให้จนสมอยาก
- สดุดี 78:30 - แต่ก่อนที่พวกเขาจะอิ่ม ขณะที่เนื้อยังคาปากอยู่
- สดุดี 78:31 - พระพิโรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อพวกเขา พระองค์ทรงประหารคนกำยำล่ำสันที่สุดของพวกเขา และทรงสังหารคนหนุ่มของอิสราเอล
- สดุดี 78:32 - ทั้งๆ ที่เห็นทั้งหมดนี้แล้ว พวกเขาก็ยังคงทำบาปต่อไป ทั้งๆที่เห็นการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ พวกเขาก็ยังไม่เชื่อ
- สดุดี 78:33 - ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้วันคืนของเขาจบลงอย่างสูญเปล่า และทำให้ปีเดือนของเขาจบลงด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:25 - ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะให้ชนชาติทั้งปวงทั่วใต้ฟ้าครั่นคร้ามหวาดกลัวเจ้า พวกเขาจะได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้าและจะหวาดผวาและหวั่นวิตกเพราะเจ้า”
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:26 - จากถิ่นกันดารเคเดโมท ข้าพเจ้าส่งทูตไปเจรจาโดยสันติวิธีกับกษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบนว่า
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:27 - “ขอให้เราผ่านดินแดนของท่าน เราจะไปตามทางหลวงโดยไม่ออกไปทางขวาหรือทางซ้าย
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:28 - เราจะจ่ายเงินซื้ออาหารและน้ำจากท่าน ขอเพียงแต่ยอมให้เราเดินผ่าน
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:29 - เหมือนที่วงศ์วานของเอซาวที่เสอีร์ และชาวโมอับที่อาร์อนุญาตให้เราผ่านแดน จนเราข้ามแม่น้ำจอร์แดนเพื่อไปยังดินแดนซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราประทานให้”
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:30 - แต่กษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบนไม่ยินยอมให้เราผ่านแดน ทั้งนี้เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงกระทำให้จิตใจของเขาแข็งกระด้าง และทำให้ใจของเขาดื้อดึง เพื่อจะมอบเขาไว้ในมือของท่านดังที่เป็นอยู่ขณะนี้
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:31 - องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด เรากำลังจะมอบสิโหนกับดินแดนของเขาไว้ในมือของเจ้า บัดนี้จงเข้าพิชิตและครอบครองดินแดนของเขา”
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:32 - เมื่อสิโหนยกไพร่พลทั้งหมดออกมาสู้กับเราที่ยาฮาส
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:33 - พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงมอบเขาไว้ในมือของเรา เราประหารเขากับบรรดาลูกชาย และกองกำลังทั้งหมดของเขา
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:34 - ครั้งนั้นเรายึดเมืองทั้งหมดของเขาและทำลายล้าง พวกเขาหมดสิ้น ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก เราไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิตเลย
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:35 - แต่เรายึดฝูงสัตว์พร้อมทั้งทรัพย์สินที่ได้จากเมืองต่างๆ มาเป็นของเรา
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:36 - เรารบชนะตั้งแต่อาโรเออร์จากโกรกธารอารโนน รวมหัวเมืองต่างๆ แถบนั้นจนจดกิเลอาด ไม่มีสักเมืองเดียวที่แข็งแกร่งเกินกำลังของเรา พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราประทานเมืองทั้งหมดแก่เรา
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:37 - อย่างไรก็ดีพวกท่านเลี่ยงจากดินแดนของชาวอัมโมน จากดินแดนแถบแม่น้ำยับบอก และดินแดนเทือกเขาตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงบัญชาไว้
- กันดารวิถี 9:15 - วันที่พลับพลาซึ่งเป็นเต็นท์แห่งพันธสัญญาถูกตั้งขึ้น มีเมฆปกคลุมเหนือพลับพลาตั้งแต่เย็นจนถึงเช้า แลดูเหมือนไฟ
- กันดารวิถี 9:16 - เมฆปกคลุมพลับพลาในเวลากลางวัน และเมฆแลดูเหมือนไฟในเวลากลางคืน จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
- กันดารวิถี 9:17 - เมื่อใดก็ตามที่เมฆซึ่งอยู่เหนือเต็นท์นัดพบลอยขึ้น ประชากรอิสราเอลก็ออกเดินทาง ที่ใดก็ตามซึ่งเมฆมาหยุดอยู่ ชนอิสราเอลก็จะตั้งค่ายพักที่นั่น
- กันดารวิถี 9:18 - ประชากรอิสราเอลออกเดินทางและตั้งค่ายพักตามพระดำรัสสั่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าตราบใดที่เมฆยังคงอยู่เหนือพลับพลา เขาก็ตั้งค่ายพักแรมอยู่
- กันดารวิถี 9:19 - เมื่อเมฆอยู่เหนือพลับพลาเป็นเวลานาน ชนอิสราเอลก็ทำตามระเบียบที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงวางไว้ และไม่ได้ออกเดินทาง
- กันดารวิถี 9:20 - บางครั้งเมฆก็อยู่เหนือพลับพลาเพียงไม่กี่วัน พวกเขาจะตั้งค่ายพักอยู่หรือออกเดินทางตามแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา
- กันดารวิถี 9:21 - บางครั้งเมฆก็อยู่เพียงชั่วข้ามคืน เมื่อเมฆลอยขึ้นในเวลาเช้า พวกเขาก็ออกเดินทาง เมื่อใดก็ตามที่เมฆลอยขึ้นไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน พวกเขาก็ออกเดินทาง
- กันดารวิถี 9:22 - ไม่ว่าเมฆอยู่เหนือพลับพลาสองวัน หรือหนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี ชนอิสราเอลจะคงอยู่ในค่ายพักไม่ออกเดินทาง แต่เมื่อเมฆลอยขึ้น พวกเขาก็ออกเดินทาง
- กันดารวิถี 9:23 - ดังนี้แหละพวกเขาตั้งค่ายหรือออกเดินทางตามแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา พวกเขาเชื่อฟังและทำตามระเบียบขององค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งไว้ผ่านทางโมเสส
- กันดารวิถี 11:1 - ครั้งนั้นเหล่าประชากรบ่นถึงความทุกข์ยากลำบากของพวกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสดับ แล้วก็ทรงพระพิโรธ จึงมีไฟจากองค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านั้นที่รอบนอกของค่าย
- กันดารวิถี 11:2 - พวกเขาร้องขอให้โมเสสช่วย เมื่อเขาอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไฟก็ดับ
- กันดารวิถี 11:3 - ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่าทาเบราห์ เพราะมีไฟจากองค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเผาผลาญพวกเขา
- กันดารวิถี 11:4 - ฝูงชนที่มากับพวกเขาเริ่มร้องหาอาหารอย่างอื่น และชาวอิสราเอลเริ่มคร่ำครวญอีกว่า “อยากกินเนื้อเหลือเกิน!
- กันดารวิถี 11:5 - นึกถึงปลาที่เราเคยกินกันในอียิปต์โดยไม่ต้องซื้อ อีกทั้งแตงกวา แตงโม กระเทียมจีน หอมใหญ่ และกระเทียม
- กันดารวิถี 11:6 - แต่ขณะนี้เราเบื่ออาหาร เพราะเราไม่เคยเห็นอาหารอย่างอื่นนอกจากมานา!”
- กันดารวิถี 11:7 - มานามีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชี ดูคล้ายๆ ยางไม้ตะคร้ำ
- กันดารวิถี 11:8 - ประชากรเที่ยวเก็บมาตำหรือโม่เป็นแป้ง แล้วต้มและทำเป็นขนม มีรสชาติเหมือนขนมบางอย่างที่ทำจากน้ำมันมะกอก
- กันดารวิถี 11:9 - มานานั้นร่วงลงมาพร้อมกับหยาดน้ำค้างในเวลากลางคืน
- กันดารวิถี 11:10 - โมเสสได้ยินเสียงคร่ำครวญของผู้คนจากทุกครอบครัว แต่ละคนยืนอยู่หน้าทางเข้าเต็นท์ของเขา องค์พระผู้เป็นเจ้ากริ้วยิ่งนัก โมเสสเองก็ลำบากใจอย่างยิ่ง
- กันดารวิถี 11:11 - เขากราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ทำไมจึงทรงให้ผู้รับใช้ของพระองค์เดือดร้อนเช่นนี้? ข้าพระองค์ทำสิ่งใดไม่เป็นที่พอพระทัยหรือ จึงทรงให้ข้าพระองค์แบกภาระทั้งหมดของชนชาตินี้?
- กันดารวิถี 11:12 - ข้าพระองค์ตั้งครรภ์คนเหล่านี้หรือ? ข้าพระองค์ให้กำเนิดเขาหรือ? จึงทรงให้ข้าพระองค์ประคบประหงมพวกเขาราวกับพี่เลี้ยงอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน กว่าจะไปถึงดินแดนที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา
- กันดารวิถี 11:13 - ข้าพระองค์จะไปหาเนื้อจากที่ไหนมาให้คนทั้งหมดนี้? พวกเขาคร่ำครวญกับข้าพระองค์ว่า ‘ให้พวกเราได้กินเนื้อเถิด!’
- กันดารวิถี 11:14 - ข้าพระองค์ตัวคนเดียวหอบหิ้วประชากรทั้งหมดนี้ไปไม่ไหว เป็นภาระหนักเกินทน
- กันดารวิถี 11:15 - หากพระองค์จะทรงทำกับข้าพระองค์อย่างนี้ ก็โปรดเมตตาประหารข้าพระองค์เดี๋ยวนี้เถิด ถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์ อย่าให้ข้าพระองค์ต้องเผชิญกับความหายนะเลย”
- กันดารวิถี 11:16 - องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงนำผู้อาวุโสเจ็ดสิบคนของอิสราเอลซึ่งเจ้ารู้จักในฐานะผู้นำและเจ้าหน้าที่ในหมู่ประชากรนั้นมาพบเรา ให้พวกเขามายืนอยู่กับเจ้าที่เต็นท์นัดพบ
- กันดารวิถี 11:17 - เราจะลงมาพูดกับเจ้าที่นั่น และจะเอาพระวิญญาณที่อยู่เหนือเจ้ามอบให้อยู่เหนือคนเหล่านั้นด้วย พวกเขาจะช่วยแบกภาระเรื่องประชากรร่วมกับเจ้า เจ้าจะได้ไม่ต้องรับงานนี้แต่ลำพัง
- กันดารวิถี 11:18 - “จงบอกเหล่าประชากรว่า ‘จงชำระตัวให้บริสุทธิ์ เตรียมพร้อมสำหรับพรุ่งนี้ซึ่งพวกเจ้าจะมีเนื้อกิน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยินที่พวกเจ้าโอดครวญแล้วว่า “เราอยากกินเนื้อเหลือเกิน! อยู่ที่อียิปต์ยังดีเสียกว่า!” บัดนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะให้เจ้ากินเนื้อ
- กันดารวิถี 11:19 - ไม่ใช่เพียงวันสองวัน ห้าวัน สิบวันหรือยี่สิบวัน
- กันดารวิถี 11:20 - แต่พวกเจ้าจะมีเนื้อกินหนึ่งเดือนเต็ม จนล้นออกมาทางจมูกจนเจ้าเอือม เพราะพวกเจ้าปฏิเสธ องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้อยู่ท่ามกลางพวกเจ้า และคร่ำครวญต่อพระองค์ว่า “ทำไมพวกเราต้องจากอียิปต์มา?” ’ ”
- กันดารวิถี 11:21 - แต่โมเสสกราบทูลว่า “ข้าพระองค์มีพลเดินเท้าถึงหกแสนคนยืนอยู่ที่นี่ แล้วพระองค์ยังตรัสว่า ‘เราจะให้เนื้อพวกเขากินตลอดหนึ่งเดือนเต็ม!’
- กันดารวิถี 11:22 - ต่อให้เอาฝูงแพะ แกะ และวัวทั้งหมดมาฆ่ากินจะพอหรือ? หากจะจับปลาหมดทะเลมาให้พวกเขากินจะเพียงพอหรือ?”
- กันดารวิถี 11:23 - องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบโมเสสว่า “มีอะไรที่เกินความสามารถขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ? คราวนี้เจ้าจะได้เห็นว่าที่เราพูดนั้นจะเป็นจริงหรือไม่”
- กันดารวิถี 11:24 - ดังนั้นโมเสสจึงออกมาแจ้งพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ประชากรทั้งหลายทราบ และเรียกประชุมผู้อาวุโสเจ็ดสิบคนมายืนเรียงรายรอบพลับพลา
- กันดารวิถี 11:25 - แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาในเมฆตรัสกับโมเสส และทรงนำพระวิญญาณที่อยู่เหนือโมเสสประทานให้อยู่เหนือผู้อาวุโสทั้งเจ็ดสิบคน เมื่อพระวิญญาณประทับอยู่เหนือพวกเขา เขาก็เผยพระวจนะอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เผยพระวจนะอีก
- กันดารวิถี 11:26 - แต่มีผู้อาวุโสสองคนในกลุ่มเจ็ดสิบคนคือ เอลดาดและเมดาดยังอยู่ในค่ายพัก ไม่ได้ออกไปที่พลับพลา พระวิญญาณก็เสด็จมาเหนือพวกเขาด้วย และพวกเขาก็เผยพระวจนะอยู่ในค่าย
- กันดารวิถี 11:27 - ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้โมเสสทราบว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังเผยพระวจนะอยู่ในค่าย”
- กันดารวิถี 11:28 - โยชูวาบุตรนูนซึ่งคอยรับใช้โมเสสมาตั้งแต่หนุ่มๆ ท้วงว่า “โมเสส เจ้านายของข้าพเจ้า โปรดห้ามเขาเถิด!”
- กันดารวิถี 11:29 - แต่โมเสสตอบว่า “ท่านเดือดร้อนแทนเราหรือ? เราอยากให้ประชากรทุกคนขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะและให้องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานพระวิญญาณเหนือพวกเขา!”
- กันดารวิถี 11:30 - แล้วโมเสสและบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอลก็กลับไปยังค่ายพัก
- กันดารวิถี 11:31 - ทันใดนั้นมีกระแสลมจากองค์พระผู้เป็นเจ้าพัดพานกคุ่มจากทะเลมาตกอยู่รอบ ค่ายทุกทิศ สูงพ้นพื้นดิน 2 ศอก เป็นรัศมีเท่ากับระยะทางที่เดินได้ในหนึ่งวัน
- กันดารวิถี 11:32 - ประชากรพากันออกไปจับนกมาฆ่ากินทั้งวันทั้งคืนและตลอดวันรุ่งขึ้น แต่ละคนจับนกคุ่มได้อย่างน้อยคนละประมาณ 2.2 กิโลลิตร พวกเขาเอาเนื้อนกคุ่มตากไว้รอบค่าย
- กันดารวิถี 11:33 - แต่ขณะที่เนื้อยังคาปาก ยังไม่ได้กลืนลงไป พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อประชากร พระองค์ทรงประหารพวกเขาด้วยโรคระบาดอย่างรุนแรง
- กันดารวิถี 11:34 - สถานที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า ขิบโรทหัทธาอาวาห์ แปลว่า สุสานแห่งความตะกละ เพราะที่นั่นพวกเขาได้ฝังคนที่ตะกละกินอาหารอื่น
- กันดารวิถี 11:35 - พวกเขาเดินทางต่อจากขิบโรทหัทธาอาวาห์มาถึงฮาเซโรท และพักอยู่ที่นั่น
- กันดารวิถี 14:1 - ในคืนนั้นประชาชนทั้งปวงส่งเสียงร้องไห้กันดังระงม
- กันดารวิถี 14:2 - ชุมนุมประชากรทั้งหมดบ่นกับโมเสสและอาโรนว่า “เราน่าจะตายตั้งแต่ยังอยู่ที่อียิปต์! หรือไม่ก็ตายในถิ่นกันดารนี้!
- กันดารวิถี 14:3 - ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงพาเรามายังดินแดนนี้ เพียงเพื่อให้ตายด้วยคมดาบ? ลูกเมียของเราจะต้องตกเป็นเชลย เราออกจากที่นี่กลับไปอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ?”
- กันดารวิถี 14:4 - แล้วเขาพูดต่อๆ กันว่า “พวกเราควรจะเลือกผู้นำสักคนและกลับไปอียิปต์กัน”
- กันดารวิถี 14:5 - โมเสสและอาโรนจึงหมอบกราบซบหน้าลงกับพื้นต่อหน้าชุมชนอิสราเอลทั้งปวงที่นั่น
- กันดารวิถี 14:6 - โยชูวาบุตรนูนและคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ซึ่งออกไปสำรวจดินแดนด้วยจึงฉีกเสื้อผ้าของตน
- กันดารวิถี 14:7 - และกล่าวแก่ชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวงว่า “ดินแดนที่เราเข้าไปสำรวจนั้นดีเยี่ยมจริงๆ
- กันดารวิถี 14:8 - หากองค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานพวกเรา พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปในดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง และจะยกดินแดนนั้นให้แก่เรา
- กันดารวิถี 14:9 - ขอเพียงแต่เราอย่ากบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย ไม่ต้องกลัวผู้คนในดินแดนนั้น เพราะเราจะกลืนกินพวกเขา สิ่งที่พิทักษ์รักษาเขาก็สูญสิ้นไปแล้ว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย”
- กันดารวิถี 14:10 - แต่ชุมนุมประชากรทั้งปวงคบคิดกันจะเอาก้อนหินขว้างเขาทั้งสอง ขณะนั้นพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏที่เต็นท์นัดพบต่อหน้าชนอิสราเอลทั้งปวง
- กันดารวิถี 14:11 - องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ประชากรเหล่านี้จะสบประมาทเราไปนานเท่าใด? พวกเขาจะไม่ยอมเชื่อถือเราอีกนานเท่าใด? ทั้งๆ ที่เราได้ทำการอัศจรรย์นานัปการในหมู่พวกเขา
- กันดารวิถี 14:12 - เราจะใช้ภัยพิบัติมาทำลายพวกนั้น แต่เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่าพวกเขา”
- กันดารวิถี 14:13 - โมเสสกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ชาวอียิปต์จะได้ยินเรื่องนี้! เรื่องที่พระองค์ทรงนำประชากรเหล่านี้ออกมาจากหมู่พวกเขาโดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์
- กันดารวิถี 14:14 - และเขาจะเล่าเรื่องนี้ให้ผู้คนแถบนี้ฟัง ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพวกเขาได้ยินแล้วว่าพระองค์สถิตอยู่กับประชากรเหล่านี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพวกเขาได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ และทราบว่าเมฆของพระองค์อยู่เหนือพวกเขา พระองค์ทรงนำหน้าพวกเขาไปด้วยเสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืน
- กันดารวิถี 14:15 - หากพระองค์ทรงประหารประชากรทั้งหมดในคราวเดียวกัน ประชาชาติทั้งหลายที่ได้ยินเรื่องนี้จะพูดกันว่า
- กันดารวิถี 14:16 - ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่สามารถนำคนเหล่านี้ไปยังดินแดนที่ทรงสัญญา โดยคำปฏิญาณว่าจะมอบให้ จึงทรงประหารเขาในถิ่นกันดาร’
- กันดารวิถี 14:17 - “บัดนี้ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงอานุภาพดังที่ได้ทรงประกาศไว้ว่า
- กันดารวิถี 14:18 - ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกริ้วช้า บริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง ทรงอภัยบาปและการกบฏ แต่พระองค์จะไม่ทรงละเว้นโทษผู้ที่ทำผิด พระองค์จะทรงลงโทษลูกหลานของเขาเพราะบาปของบรรพบุรุษถึงสามสี่ชั่วอายุคน’
- กันดารวิถี 14:19 - โดยเห็นแก่ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ขอทรงอภัยโทษบาปของประชากรเหล่านี้ดังที่ได้ทรงอภัยให้เสมอมาตั้งแต่ข้าพระองค์ทั้งหลายออกจากอียิปต์มาจวบจนบัดนี้”
- กันดารวิถี 14:20 - องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “เราได้อภัยโทษให้พวกเขาตามที่เจ้าขอร้องแล้ว
- กันดารวิถี 14:21 - แต่เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ทั่วพิภพโลกจะเต็มไปด้วยเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าฉันนั้น
- กันดารวิถี 14:22 - ทุกคนที่ได้เห็นเกียรติสิริของเราและเห็นหมายสำคัญที่เราได้ทำทั้งในอียิปต์และในถิ่นกันดารแล้วยังไม่ยอมเชื่อฟังเรา แต่ลองดีกับเรานับสิบครั้ง
- กันดารวิถี 14:23 - ในบรรดาคนเหล่านี้จะไม่มีสักคนเดียวที่จะได้เห็นดินแดนที่เราสัญญาโดยปฏิญาณว่าจะยกให้บรรพบุรุษของเขา จะไม่มีใครที่ดูหมิ่นเรา แล้วจะได้เห็นดินแดนนี้
- กันดารวิถี 14:24 - ส่วนคาเลบผู้รับใช้ของเรามีจิตใจแตกต่างออกไป และติดตามเราอย่างสุดใจ เราจะพาเขาเข้าไปยังดินแดนที่เขาได้สำรวจมา และวงศ์วานของเขาจะได้ครอบครองดินแดนนั้น
- กันดารวิถี 14:25 - เนื่องจากชาวอามาเลข และชาวคานาอันอาศัยอยู่ในหุบเขา พรุ่งนี้เจ้าจะต้องออกเดินทางกลับไปยังถิ่นกันดาร ตามทางถึงทะเลแดง”
- กันดารวิถี 14:26 - องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า
- กันดารวิถี 14:27 - “ชุมชนที่ชั่วร้ายเหล่านี้จะบ่นว่าเราอีกนานเท่าใด? เราได้ยินคำพร่ำบ่นของคนอิสราเอลเหล่านี้แล้ว
- กันดารวิถี 14:28 - ดังนั้นจงบอกพวกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะทำกับเจ้าอย่างที่เจ้าได้พูดไว้ฉันนั้น
- กันดารวิถี 14:29 - คือพวกเจ้าจะล้มตายในถิ่นกันดารนี้ คือพวกเจ้าทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีขึ้นไปตามที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ และได้บ่นว่าเรา
- กันดารวิถี 14:30 - จะไม่มีสักคนได้เข้าดินแดนที่เราสัญญาว่าจะยกให้เป็นที่อยู่อาศัยของเจ้า ยกเว้นคาเลบบุตรเยฟุนเนห์กับโยชูวาบุตรนูน
- กันดารวิถี 14:31 - ส่วนลูกหลานที่เจ้าทั้งหลายพูดว่าจะตกเป็นเชลยนั้น เราจะพาเข้าไปชื่นชมดินแดนที่พวกเจ้ามองข้าม
- กันดารวิถี 14:32 - ส่วนพวกเจ้าจะล้มตายในถิ่นกันดารนี้
- กันดารวิถี 14:33 - ลูกหลานของเจ้าจะเลี้ยงแกะอยู่ที่นี่เป็นเวลาสี่สิบปี รับความทุกข์ยากเพราะเหตุที่พวกเจ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา จวบจนคนสุดท้ายในพวกเจ้าล้มตายลงในถิ่นกันดาร
- กันดารวิถี 14:34 - เจ้าจะรับโทษบาปของตนและรู้ว่าการที่เจ้าทำให้เราต่อสู้กับเจ้านั้นเป็นเช่นไรเป็นเวลาสี่สิบปี หนึ่งปีแทนหนึ่งวันของสี่สิบวันแห่งการสำรวจดินแดน’
- กันดารวิถี 14:35 - เราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาแล้ว และเราจะทำแก่ชุมชนชั่วร้ายทั้งหมด ซึ่งรวมหัวกันต่อต้านเราตามนี้อย่างแน่นอน พวกเขาจะพบจุดจบในถิ่นกันดารนี้ จะตายที่นี่”
- กันดารวิถี 14:36 - ดังนั้นบรรดาผู้ที่โมเสสใช้ไปสำรวจดินแดนและกลับมารายงานในแง่ร้ายเกี่ยวกับดินแดนนั้น ซึ่งทำให้เหล่าประชากรบ่นว่าโมเสส
- กันดารวิถี 14:37 - คนเหล่านั้นซึ่งกระจายข่าวในแง่ร้ายเกี่ยวกับดินแดนนั้นก็ล้มตายลงด้วยโรคภัยต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า
- กันดารวิถี 14:38 - ในบรรดาคนที่ไปสำรวจ มีเพียงโยชูวาบุตรนูนกับคาเลบบุตรเยฟุนเนห์เท่านั้นที่รอดชีวิตอยู่
- กันดารวิถี 14:39 - เมื่อโมเสสแจ้งเรื่องนี้แก่ปวงชนอิสราเอล พวกเขาพากันร่ำไห้ด้วยความเศร้าเสียใจแสนสาหัส
- กันดารวิถี 14:40 - เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นพวกเขามุ่งหน้าขึ้นไปยังแถบเทือกเขาสูง และกล่าวว่า “เราทำบาปไปแล้ว เราจะขึ้นไปยังดินแดนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาไว้”
- กันดารวิถี 14:41 - แต่โมเสสกล่าวว่า “ทำไมพวกท่านจึงฝ่าฝืนพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า? งานนี้จะไม่สำเร็จ!
- กันดารวิถี 14:42 - อย่าขึ้นไปเลยเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สถิตกับท่าน ท่านจะพ่ายแพ้ศัตรู
- กันดารวิถี 14:43 - เพราะชาวอามาเลขกับชาวคานาอันจะประจันหน้ากับพวกท่านที่นั่น เพราะพวกท่านได้หันหนีจากองค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์จะไม่สถิตกับท่าน ท่านจะล้มตายด้วยคมดาบ”
- กันดารวิถี 14:44 - อย่างไรก็ตามพวกเขาดันทุรังบุกขึ้นไปยังดินแดนเทือกเขา ทั้งๆ ที่โมเสสหรือหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เคลื่อนไปจากค่ายพัก
- กันดารวิถี 14:45 - แล้วชาวอามาเลขกับชาวคานาอันซึ่งอาศัยอยู่ในแถบเทือกเขานั้น ก็ยกกำลังมาโจมตีพวกเขาและไล่ต้อนพวกเขาไปถึงโฮรมาห์
- อพยพ 16:1 - จากนั้นชุมชนอิสราเอลทั้งหมดออกเดินทางจากเอลิมถึงถิ่นกันดารสีน ซึ่งอยู่ระหว่างเอลิมกับซีนาย ถึงที่นั่นในวันที่สิบห้าของเดือนที่สองนับตั้งแต่พวกเขาออกจากอียิปต์
- อพยพ 16:2 - ในถิ่นกันดารนั้นชนอิสราเอลทั้งปวงบ่นว่าโมเสสกับอาโรน
- อพยพ 16:3 - ชนอิสราเอลกล่าวกับเขาทั้งสองว่า “เราน่าจะตายด้วยน้ำมือขององค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่อยู่ที่อียิปต์แล้ว! ตอนที่เราอยู่ที่นั่น เรานั่งล้อมวงหม้อเนื้อและกินอาหารทุกอย่างที่เราต้องการ แต่ท่านพาเราออกมาอดตายกันหมดในถิ่นกันดาร”
- อพยพ 16:4 - องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้าแก่พวกเจ้า ให้ทุกคนออกไปเก็บอาหารแต่ละวันมากน้อยตามความต้องการในวันนั้น เราจะทดลองดูว่าพวกเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งของเราหรือไม่
- อพยพ 16:5 - บอกพวกเขาว่าให้เก็บอาหารมากกว่าปกติเป็นสองเท่าในวันที่หก”
- อพยพ 16:6 - ดังนั้นโมเสสกับอาโรนจึงกล่าวแก่ประชากรอิสราเอลว่า “ในเวลาเย็นท่านจะรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่นำท่านออกจากอียิปต์
- อพยพ 16:7 - และในเวลาเช้าท่านจะเห็นพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะพระองค์ทรงได้ยินพวกท่านบ่นว่าพระองค์ แล้วเราทั้งสองเป็นใครกันเล่า ท่านจึงมาบ่นว่าเรา?”
- อพยพ 16:8 - โมเสสกล่าวอีกว่า “ท่านจะรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อพระองค์ประทานเนื้อให้ในเวลาเย็นและประทานอาหารทั้งหมดที่ท่านต้องการในเวลาเช้า เพราะพระองค์ทรงได้ยินท่านบ่นว่าพระองค์แล้ว เราเป็นใครเล่า? ท่านไม่ได้ต่อว่าเรา แต่บ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า”
- อพยพ 16:9 - แล้วโมเสสบอกอาโรนว่า “จงกล่าวแก่ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดว่า ‘จงเข้ามาต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะทรงได้ยินเสียงบ่นว่าของพวกเจ้าแล้ว’ ”
- อพยพ 16:10 - ขณะอาโรนกำลังกล่าวแก่ชุมชนอิสราเอลทั้งปวง พวกเขามองไปทางถิ่นกันดารเห็นพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏในเมฆ
- อพยพ 16:11 - องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
- อพยพ 16:12 - “เราได้ยินคำบ่นของชนอิสราเอลแล้ว จงบอกพวกเขาว่า ‘ในเวลาพลบค่ำพวกเจ้าจะมีเนื้อกิน และในเวลาเช้าพวกเจ้าจะมีอาหารกินจนอิ่ม แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า’ ”
- อพยพ 16:13 - เย็นวันนั้นนกคุ่มบินมาตกเต็มค่าย และในเวลาเช้าตรู่บริเวณรอบค่ายมีน้ำค้างชุ่ม
- อพยพ 16:14 - เมื่อน้ำค้างระเหยไปก็เหลือเกล็ดเล็กๆ เหมือนเกล็ดน้ำค้างแข็งตกอยู่ตามพื้นดินของถิ่นกันดาร
- อพยพ 16:15 - ชาวอิสราเอลเห็นเข้าก็ถามกันว่า “อะไรกันนี่?” เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร โมเสสตอบว่า “นี่คืออาหารที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่พวกเจ้า
- อพยพ 16:16 - องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาว่า ‘ให้แต่ละคนเก็บอาหารเท่าที่ตนต้องการ คนละประมาณ 2 ลิตร ตามจำนวนคนที่อยู่ในเต็นท์ของเจ้า’ ”
- อพยพ 16:17 - ชนอิสราเอลจึงทำตามที่พวกเขาบอก บางคนก็เก็บมาก บางคนก็เก็บน้อย
- ฮีบรู 8:9 - เป็นพันธสัญญาซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญา ที่เราได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของเขา เมื่อเราจูงมือพวกเขา นำออกมาจากดินแดนอียิปต์ เพราะพวกเขาไม่ได้คงความสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญาของเรา และเราเมินหนีจากพวกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
- สดุดี 78:42 - พวกเขาไม่ได้นึกถึงพระเดชานุภาพ ในวันที่พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากผู้ข่มเหงรังแก
- สดุดี 78:43 - ในวันที่พระองค์ทรงสำแดงหมายสำคัญต่างๆ ในอียิปต์ ทรงสำแดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ในดินแดนโศอัน
- สดุดี 78:44 - พระองค์ทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเลือด จนไม่มีใครอาจดื่มน้ำจากธารน้ำได้
- สดุดี 78:45 - พระองค์ทรงส่งฝูงเหลือบมาเล่นงานพวกเขา และทรงส่งฝูงกบมาทำลายล้างพวกเขา
- สดุดี 78:46 - พระองค์ทรงยกพืชผลของพวกเขาให้แก่ตั๊กแตน ทรงยกผลิตผลของพวกเขาให้แก่ฝูงตั๊กแตน
- สดุดี 78:47 - พระองค์ทรงให้ลูกเห็บทำลายเถาองุ่นของพวกเขา และทรงให้น้ำค้างแข็งทำลายต้นมะเดื่อของพวกเขา
- สดุดี 78:48 - พระองค์ทรงให้ลูกเห็บจัดการกับฝูงวัวของพวกเขา ทรงให้ฟ้าผ่าจัดการกับฝูงปศุสัตว์ของพวกเขา
- สดุดี 78:49 - พระองค์ทรงระบายความกริ้วอันเกรี้ยวกราด ทรงระบายพระพิโรธ ความขุ่นเคืองพระทัย และการเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา ทรงส่งเหล่าทูตสวรรค์ผู้ล้างผลาญมาลงโทษพวกเขา
- สดุดี 78:50 - พระองค์ทรงเตรียมทางสำหรับพระพิโรธของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงไว้ชีวิตพวกเขา แต่ทรงหยิบยื่นพวกเขาให้แก่โรคระบาด
- สดุดี 78:51 - พระองค์ทรงประหารลูกหัวปีทั้งสิ้นในอียิปต์ คือผลแรกแห่งวัยฉกรรจ์ในเต็นท์ของฮาม
- อพยพ 15:23 - เมื่อพวกเขามาถึงมาราห์ พวกเขาดื่มน้ำไม่ได้เพราะน้ำที่นั่นมีรสขม (ที่นั่นจึงได้ชื่อว่ามาราห์ )
- อพยพ 15:24 - ดังนั้นเหล่าประชากรจึงบ่นว่าโมเสสว่า “จะให้พวกเราเอาอะไรดื่ม?”
- อพยพ 15:25 - แล้วโมเสสทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงให้เขาเห็นไม้ท่อนหนึ่ง เขาโยนมันลงไปในน้ำ น้ำก็หายขม ที่มาราห์นี้เององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงวางกฎหมายและบทบัญญัติสำหรับเหล่าประชากรและทรงทดสอบพวกเขา
- สดุดี 106:8 - ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงช่วยกู้พวกเขา เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ เพื่อให้ฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์เป็นที่ประจักษ์
- สดุดี 106:9 - พระองค์ทรงกำราบทะเลแดง มันก็เหือดแห้ง ทรงนำพวกเขาเหล่านั้นผ่านที่ลึกราวกับผ่านทะเลทราย
- สดุดี 106:10 - พระองค์ทรงช่วยพวกเขาจากเงื้อมมือของปฏิปักษ์ ทรงกอบกู้พวกเขาจากอุ้งมือของเหล่าศัตรู
- สดุดี 106:11 - น้ำไหลท่วมมิดเหล่าศัตรู ไม่เหลือรอดสักคนเดียว
- เฉลยธรรมบัญญัติ 8:4 - ตลอดสี่สิบปีที่ผ่านมานี้เสื้อผ้าของท่านไม่ได้ซีดเปื่อย เท้าของท่านไม่ได้บวม
- เนหะมีย์ 9:18 - แม้แต่ขณะที่พวกเขาได้หล่อเทวรูปลูกวัวขึ้นสำหรับตนและประกาศว่า ‘นี่คือพระเจ้าผู้พาเราออกมาจากอียิปต์’ หรือขณะที่พวกเขาหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง
- เนหะมีย์ 9:19 - “เนื่องด้วยพระกรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ พระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งพวกเขาไว้ในถิ่นกันดาร เสาเมฆยังคงนำพวกเขาไปตามทางในเวลากลางวันและเสาเพลิงยังส่องทางตลอดค่ำคืน
- เนหะมีย์ 9:20 - พระองค์ประทานพระวิญญาณล้ำเลิศมาสั่งสอนพวกเขา พระองค์ไม่ได้ให้มานาของพระองค์ขาดจากปากของพวกเขาและพระองค์ประทานน้ำดับความกระหายให้พวกเขา
- เนหะมีย์ 9:21 - ตลอดสี่สิบปีพระองค์ทรงเลี้ยงดูพวกเขาในถิ่นกันดาร พวกเขาไม่ขัดสนสิ่งใด เสื้อผ้าของเขาไม่ได้เก่าคร่ำคร่าและเท้าก็ไม่ได้บวมช้ำ
- เนหะมีย์ 9:22 - “พระองค์ทรงมอบอาณาจักรและชนชาติต่างๆ แก่พวกเขา ทรงแบ่งสรรปันส่วนให้แม้แต่ชายแดนที่ไกลโพ้น พวกเขายึดครองดินแดนของกษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบน และดินแดนของกษัตริย์โอกแห่งบาชาน
- เฉลยธรรมบัญญัติ 4:33 - มีคนชาติใดบ้างที่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสออกมาจากไฟเหมือนที่ท่านได้ประสบมา?
- เฉลยธรรมบัญญัติ 4:34 - มีพระใดเล่าที่นำชนชาติหนึ่งออกมาจากอีกชนชาติหนึ่งมาเป็นของพระองค์เองโดยการทดสอบ โดยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ โดยสงคราม โดยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และพระกรที่เหยียดออก โดยพระราชกิจอันยิ่งใหญ่และน่าครั่นคร้าม เหมือนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงกระทำเพื่อท่านในอียิปต์ต่อหน้าต่อตาท่าน?
- เฉลยธรรมบัญญัติ 4:35 - พระองค์ทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า นอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใด
- เฉลยธรรมบัญญัติ 4:36 - จากฟ้าสวรรค์พระองค์ทรงให้ท่านได้ยินพระสุรเสียงเพื่อท่านจะอยู่ในโอวาท ในโลกพระองค์ทรงโปรดให้ท่านเห็นไฟมหึมาของพระองค์ และท่านได้ยินพระดำรัสจากไฟนั้น
- เฉลยธรรมบัญญัติ 4:37 - ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงรักบรรพบุรุษของท่านและทรงเลือกสรรวงศ์วานของเขาเหล่านั้น พระองค์จึงทรงนำท่านออกจากอียิปต์ด้วยพระองค์เองและด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
- อพยพ 14:27 - โมเสสปฏิบัติตาม ครั้นรุ่งสางน้ำทะเลก็ไหลกลับดังเดิม ชาวอียิปต์พากันตะเกียกตะกายหนีเอาชีวิตรอด แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกวาดพวกเขาลงทะเล
- อพยพ 14:28 - น้ำทะเลซัดกลับท่วมกองทัพทั้งหมดของฟาโรห์ ได้แก่รถม้าศึกและพลม้าซึ่งไล่ตามอิสราเอลเข้าไปในทะเล ไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
- อพยพ 14:29 - ส่วนชาวอิสราเอลเดินบนทางแห้งข้ามทะเล โดยมีน้ำเป็นกำแพงสองข้างทาง
- สดุดี 105:27 - ทั้งสองแสดงหมายสำคัญของพระองค์ท่ามกลางพวกเขา แสดงปาฏิหาริย์ของพระองค์ในดินแดนของฮาม
- สดุดี 105:28 - พระองค์ทรงส่งความมืดมากระทำให้มืดมิดทั่วแดน ไม่ใช่เพราะพวกเขาดึงดันขัดขืนพระดำรัสของพระองค์หรือ?
- สดุดี 105:29 - พระองค์ทรงเปลี่ยนน้ำของพวกเขาให้กลายเป็นเลือด ทำให้ปลาตายหมด
- สดุดี 105:30 - ดินแดนของพวกเขาเต็มไปด้วยกบ ซึ่งเข้าไปถึงห้องนอนของบรรดาเจ้านาย
- สดุดี 105:31 - พระองค์ตรัส ฝูงเหลือบและริ้น ก็มาทั่วดินแดนของพวกเขา
- สดุดี 105:32 - พระองค์ทรงเปลี่ยนฝนให้กลายเป็นลูกเห็บ และฟ้าคำรนทั่วดินแดนนั้น
- สดุดี 105:33 - พระองค์ทรงล้มเถาองุ่นและต้นมะเดื่อของพวกเขาลงราบคาบ และโค่นต้นไม้ในดินแดนของพวกเขาระเนระนาด
- สดุดี 105:34 - พระองค์ตรัส ฝูงตั๊กแตนก็มา มืดฟ้ามัวดิน
- สดุดี 105:35 - มันกัดกินทุกอย่างที่เขียวชอุ่มในแผ่นดิน กัดกินผลิตผลทั้งหมดจากพื้นดิน
- สดุดี 105:36 - จากนั้นพระองค์ทรงประหารลูกหัวปีในดินแดนของเขา ซึ่งเป็นผลแรกจากวัยหนุ่มของเขา
- อพยพ 7:1 - องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “นี่แน่ะ เราจะทำให้เจ้าเป็นเหมือนพระเจ้าต่อฟาโรห์ และอาโรนพี่ชายของเจ้าจะเป็นผู้เผยพระวจนะของเจ้า
- อพยพ 7:2 - จงบอกอาโรนทุกอย่างที่เราสั่งเจ้า และอาโรนพี่ชายของเจ้าจะบอกฟาโรห์ให้ปล่อยชนอิสราเอลออกจากอียิปต์
- อพยพ 7:3 - แต่เราจะทำให้ฟาโรห์ใจแข็งกระด้าง และแม้ว่าเราจะทำหมายสำคัญมากขึ้นในอียิปต์
- อพยพ 7:4 - ฟาโรห์ก็จะไม่ฟังเจ้า แล้วเราจะลงมือจัดการกับอียิปต์ และด้วยการพิพากษาลงโทษอย่างหนัก เราจะนำชนอิสราเอลประชากรของเราออกไปเป็นหมู่เหล่า
- อพยพ 7:5 - และชาวอียิปต์จะได้รู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ เมื่อเราเหยียดมือออกจัดการกับอียิปต์และนำชนชาติอิสราเอลออกไป”
- อพยพ 7:6 - โมเสสและอาโรนจึงปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาทุกประการ
- อพยพ 7:7 - เมื่อเขาทั้งสองเข้าไปพูดกับฟาโรห์นั้น โมเสสมีอายุ 80 ปี ส่วนอาโรนมีอายุ 83 ปี
- อพยพ 7:8 - องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า
- อพยพ 7:9 - “เมื่อฟาโรห์กล่าวกับเจ้าว่า ‘จงแสดงการอัศจรรย์สักอย่างให้เราเห็น’ แล้วเจ้าจงบอกอาโรนว่า ‘หยิบไม้เท้าของท่านและโยนลงที่พื้นต่อหน้าฟาโรห์’ แล้วไม้เท้าจะกลายเป็นงู”
- อพยพ 7:10 - ดังนั้นโมเสสกับอาโรนจึงไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา อาโรนโยนไม้เท้าลงต่อหน้าฟาโรห์และข้าราชการ ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู
- อพยพ 7:11 - ฟาโรห์จึงรับสั่งเรียกนักปราชญ์ พ่อมด และนักเล่นอาคมชาวอียิปต์มา พวกเขาก็สามารถทำสิ่งอัศจรรย์อย่างเดียวกันด้วยศาสตร์อันลี้ลับ
- อพยพ 7:12 - พวกเขาแต่ละคนโยนไม้เท้าของตนลงและไม้เท้าของพวกเขาก็กลายเป็นงู แต่ไม้เท้าของอาโรนกลืนกินไม้เท้าของพวกเขา
- อพยพ 7:13 - แต่ฟาโรห์ยังคงมีพระทัยแข็งกระด้างและไม่ยอมฟังเขาทั้งสองดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว
- อพยพ 7:14 - องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ฟาโรห์ยังใจแข็ง ดันทุรังไม่ยอมปล่อยประชากรไป
- อพยพ 16:35 - ชนอิสราเอลกินมานาเป็นอาหารตลอดสี่สิบปี ตราบจนมาถึงเขตแดนคานาอันซึ่งพวกเขาเข้าไปตั้งรกราก
- อพยพ 14:21 - ฝ่ายโมเสสเหยียดมือออกเหนือทะเลแดง และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้มีลมตะวันออกพัดกล้าตลอดคืน ทำให้พื้นทะเลเป็นที่แห้ง น้ำถูกแยกออกจากกัน
- อพยพ 33:1 - แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงไปจากที่นี่ ทั้งเจ้ากับเหล่าประชากรซึ่งเจ้าพาออกมาจากอียิปต์ และไปยังดินแดนที่เราสัญญาโดยปฏิญาณไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบว่า ‘เราจะยกดินแดนนี้ให้แก่วงศ์วานของเจ้า’
- อพยพ 12:41 - วันสุดท้ายของ 430 ปีนั้น ประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้าทุกหมู่เหล่าก็ออกจากดินแดนอียิปต์