逐节对照
- พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ - โมเสสได้นำผู้คนออกไปจากประเทศอียิปต์ และกระทำสิ่งมหัศจรรย์ รวมทั้งปรากฏการณ์อัศจรรย์ในประเทศอียิปต์ ที่ทะเลแดงและในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี
- 新标点和合本 - 这人领百姓出来,在埃及,在红海,在旷野,四十年间行了奇事神迹。
- 和合本2010(上帝版-简体) - 这人领以色列人出来,在埃及地,在红海,在旷野的四十年间行了奇事神迹。
- 和合本2010(神版-简体) - 这人领以色列人出来,在埃及地,在红海,在旷野的四十年间行了奇事神迹。
- 当代译本 - 摩西带领以色列人出埃及,过红海,越旷野,四十年间行了许多神迹奇事。
- 圣经新译本 - 这人领他们出来,并且在埃及地、红海和旷野,行奇事神迹四十年。
- 中文标准译本 - 这个人带领以色列子民出来,在埃及地、在红海,并且在旷野的四十年间,行了奇事和神迹。
- 现代标点和合本 - 这人领百姓出来,在埃及,在红海,在旷野四十年间,行了奇事神迹。
- 和合本(拼音版) - 这人领百姓出来,在埃及,在红海,在旷野,四十年间行了奇事神迹。
- New International Version - He led them out of Egypt and performed wonders and signs in Egypt, at the Red Sea and for forty years in the wilderness.
- New International Reader's Version - So Moses led them out of Egypt. He did wonders and signs in Egypt, at the Red Sea, and for 40 years in the desert.
- English Standard Version - This man led them out, performing wonders and signs in Egypt and at the Red Sea and in the wilderness for forty years.
- New Living Translation - And by means of many wonders and miraculous signs, he led them out of Egypt, through the Red Sea, and through the wilderness for forty years.
- Christian Standard Bible - This man led them out and performed wonders and signs in the land of Egypt, at the Red Sea, and in the wilderness for forty years.
- New American Standard Bible - This man led them out, performing wonders and signs in the land of Egypt and in the Red Sea, and in the wilderness for forty years.
- New King James Version - He brought them out, after he had shown wonders and signs in the land of Egypt, and in the Red Sea, and in the wilderness forty years.
- Amplified Bible - This man led them out [of Egypt] after performing wonders and signs in the land of Egypt and at the Red Sea and in the wilderness for forty years.
- American Standard Version - This man led them forth, having wrought wonders and signs in Egypt, and in the Red sea, and in the wilderness forty years.
- King James Version - He brought them out, after that he had shewed wonders and signs in the land of Egypt, and in the Red sea, and in the wilderness forty years.
- New English Translation - This man led them out, performing wonders and miraculous signs in the land of Egypt, at the Red Sea, and in the wilderness for forty years.
- World English Bible - This man led them out, having worked wonders and signs in Egypt, in the Red Sea, and in the wilderness for forty years.
- 新標點和合本 - 這人領百姓出來,在埃及,在紅海,在曠野,四十年間行了奇事神蹟。
- 和合本2010(上帝版-繁體) - 這人領以色列人出來,在埃及地,在紅海,在曠野的四十年間行了奇事神蹟。
- 和合本2010(神版-繁體) - 這人領以色列人出來,在埃及地,在紅海,在曠野的四十年間行了奇事神蹟。
- 當代譯本 - 摩西帶領以色列人出埃及,過紅海,越曠野,四十年間行了許多神蹟奇事。
- 聖經新譯本 - 這人領他們出來,並且在埃及地、紅海和曠野,行奇事神蹟四十年。
- 呂振中譯本 - 是這個人領族民出來,在 埃及 、在 紅海 、在野地、行了奇事神迹四十年。
- 中文標準譯本 - 這個人帶領以色列子民出來,在埃及地、在紅海,並且在曠野的四十年間,行了奇事和神蹟。
- 現代標點和合本 - 這人領百姓出來,在埃及,在紅海,在曠野四十年間,行了奇事神蹟。
- 文理和合譯本 - 彼率民出、行奇事異蹟於埃及 紅海、曠野、四十年、
- 文理委辦譯本 - 率民出其地、行奇事異跡於埃及、紅海、曠野、四十年、○
- 施約瑟淺文理新舊約聖經 - 彼率民出、行異跡奇事、在 伊及 、在紅海、在曠野、歷四十年、
- 吳經熊文理聖詠與新經全集 - 率眾而出於 埃及 、 紅海 與曠野之中、廣行靈異凡四十年者、即此 摩西 也。
- Nueva Versión Internacional - Él los sacó de Egipto haciendo prodigios y señales milagrosas tanto en la tierra de Egipto como en el Mar Rojo, y en el desierto durante cuarenta años.
- 현대인의 성경 - 그는 이집트에서 자기 백성을 인도해 내었으며 이집트와 홍해와 광야에서 40년 동안 놀라운 일과 기적을 행했습니다.
- Новый Русский Перевод - Моисей вывел их из Египта, совершая чудеса и знамения в Египте, у Красного моря и в пустыне на протяжении сорока лет.
- Восточный перевод - Муса вывел народ, совершая чудеса и знамения в Египте, у Красного моря и в пустыне на протяжении сорока лет.
- Восточный перевод, версия с «Аллахом» - Муса вывел народ, совершая чудеса и знамения в Египте, у Красного моря и в пустыне на протяжении сорока лет.
- Восточный перевод, версия для Таджикистана - Мусо вывел народ, совершая чудеса и знамения в Египте, у Красного моря и в пустыне на протяжении сорока лет.
- La Bible du Semeur 2015 - C’est lui qui les fit sortir d’Egypte en accomplissant des prodiges et des signes miraculeux dans ce pays, puis lors de la traversée de la mer Rouge et, pendant quarante ans, dans le désert.
- リビングバイブル - モーセは、数々の驚くべき奇跡によって、人々をエジプトから連れ出し、紅海を横断して、四十年にわたる荒野での生活を導きました。
- Nestle Aland 28 - οὗτος ἐξήγαγεν αὐτοὺς ποιήσας τέρατα καὶ σημεῖα ἐν γῇ Αἰγύπτῳ καὶ ἐν ἐρυθρᾷ θαλάσσῃ καὶ ἐν τῇ ἐρήμῳ ἔτη τεσσεράκοντα.
- unfoldingWord® Greek New Testament - οὗτος ἐξήγαγεν αὐτοὺς, ποιήσας τέρατα καὶ σημεῖα ἐν γῇ Αἰγύπτῳ, καὶ ἐν Ἐρυθρᾷ Θαλάσσῃ, καὶ ἐν τῇ ἐρήμῳ, ἔτη τεσσεράκοντα.
- Nova Versão Internacional - Ele os tirou de lá, fazendo maravilhas e sinais no Egito, no mar Vermelho e no deserto durante quarenta anos.
- Hoffnung für alle - und Mose führte das Volk aus Ägypten. Überall vollbrachte er Zeichen und Wunder: in Ägypten, am Roten Meer und während der vierzig Jahre in der Wüste.
- Kinh Thánh Hiện Đại - Chính Môi-se đã hướng dẫn họ ra khỏi Ai Cập, thực hiện nhiều phép lạ và việc diệu kỳ tại xứ Ai Cập, trên Biển Đỏ, trong hoang mạc suốt bốn mươi năm.
- พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย - โมเสสนำพวกเขาออกจากอียิปต์ และได้ทำหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ต่างๆ ในอียิปต์ที่ทะเลแดง และตลอดสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดาร
交叉引用
- กิจการของอัครทูต 13:18 - พระองค์อดกลั้นต่อความประพฤติของพวกเขาในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาประมาณ 40 ปี
- สดุดี 136:9 - ให้ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายทำงานควบคุมยามราตรี เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
- สดุดี 136:10 - แด่พระองค์ผู้ฆ่าบุตรหัวปีของอียิปต์ เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
- สดุดี 136:11 - และนำชาวอิสราเอลออกไปจากฝูงชนชาวอียิปต์ เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
- สดุดี 136:12 - ด้วยอานุภาพและพลานุภาพ เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
- สดุดี 136:13 - แด่พระองค์ผู้แหวกทะเลแดงออก เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
- สดุดี 136:14 - และปล่อยให้ชาวอิสราเอลผ่านไปทางนั้น เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
- สดุดี 136:15 - แต่โยนฟาโรห์กับกองทัพลงในทะเลแดง เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
- สดุดี 136:16 - แด่พระองค์ผู้พาชนชาติของพระองค์ผ่านพ้นถิ่นทุรกันดาร เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
- สดุดี 136:17 - แด่พระองค์ผู้ฆ่าบรรดามหากษัตริย์ เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
- สดุดี 136:18 - และสังหารบรรดากษัตริย์ใจฉกาจ เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
- สดุดี 136:19 - อันได้แก่สิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
- สดุดี 136:20 - และโอกกษัตริย์แห่งแคว้นบาชาน เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
- สดุดี 136:21 - และให้ผืนแผ่นดินของกษัตริย์เหล่านั้นเป็นมรดก เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
- เฉลยธรรมบัญญัติ 6:21 - แล้วท่านจะตอบบุตรของท่านว่า ‘พวกเราเป็นทาสของฟาโรห์ที่ประเทศอียิปต์ และพระผู้เป็นเจ้าพาพวกเราออกจากอียิปต์ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
- เฉลยธรรมบัญญัติ 6:22 - และพระผู้เป็นเจ้าได้แสดงให้เราเห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์และสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ อันยิ่งใหญ่ และสิ่งเลวร้ายที่เกิดกับอียิปต์ ทั้งฟาโรห์และทุกคนในครัวเรือนของท่าน
- สดุดี 106:17 - แผ่นดินแยกออกจากกันและกลืนดาธาน และฝังอะบีรามกับพรรคพวกจนมิด
- สดุดี 106:18 - ไฟเผาผลาญคนทั้งกลุ่ม เปลวไฟเผาไหม้คนชั่วเหล่านั้น
- เนหะมีย์ 9:12 - พระองค์นำพวกเขาในตอนกลางวันในรูปลักษณ์ของเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลัก และในตอนกลางคืนในรูปลักษณ์ของเพลิงไฟขนาดมหึมาดั่งเสาหลัก เพื่อส่องสว่างนำพวกเขาให้เดินตามทางที่ควรจะไป
- เนหะมีย์ 9:13 - พระองค์ลงมาบนภูเขาซีนาย และกล่าวแก่พวกเขาจากท้องฟ้า และให้การตัดสินที่ถูกต้อง กฎบัญญัติที่แท้ กฎเกณฑ์และพระบัญญัติที่ดีแก่พวกเขา
- เนหะมีย์ 9:14 - และพระองค์ให้พวกเขาทราบถึงวันสะบาโตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และบัญชาพวกเขาในเรื่องพระบัญญัติ กฎเกณฑ์ และกฎบัญญัติ ผ่านทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์
- เนหะมีย์ 9:15 - เมื่อพวกเขาหิว พระองค์ก็ให้อาหารตกลงมาจากฟ้าแก่พวกเขา เมื่อพวกเขากระหาย พระองค์ก็ให้น้ำไหลออกมาจากหิน และพระองค์บัญชาพวกเขาให้เข้าไปยึดครองแผ่นดินที่พระองค์ได้ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่พวกเขา
- อพยพ 19:1 - หลังจากชาวอิสราเอลออกเดินทางจากแผ่นดินอียิปต์ไปแล้ว เมื่อถึงวันแรกของเดือนที่สาม พวกเขาก็มาถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย
- อพยพ 19:2 - เมื่อชาวอิสราเอลเดินทางออกจากเรฟีดิมมาจนถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย พวกเขาก็ได้ตั้งค่ายอยู่ที่เชิงเขาในถิ่นทุรกันดาร
- อพยพ 19:3 - โมเสสขึ้นไปพบกับพระเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าก็เปล่งเสียงจากภูเขาเรียกท่าน และกล่าวว่า “จงบอกครอบครัวของยาโคบ และจงบอกชาวอิสราเอลว่า
- อพยพ 19:4 - เจ้าได้เห็นสิ่งที่เรากระทำต่อชาวอียิปต์ และเราประคับประคองเจ้าไว้ดั่งอยู่บนปีกนกอินทรีได้อย่างไร จนกระทั่งนำเจ้าออกมาอยู่กับเราที่นี่
- อพยพ 19:5 - บัดนี้ถ้าพวกเจ้าเชื่อฟังเสียงเราและรักษาพันธสัญญาของเรา เจ้าก็จะเป็นสมบัติอันมีค่าของเราท่ามกลางชนชาติทั้งปวง ด้วยเหตุว่าโลกทั้งโลกเป็นของเรา
- อพยพ 19:6 - และพวกเจ้าจะเป็นอาณาจักรแห่งปุโรหิตทั้งหลาย และเป็นประชาชาติที่บริสุทธิ์ นี่คือสิ่งที่เจ้าจะต้องพูดกับชาวอิสราเอล”
- อพยพ 19:7 - ดังนั้น โมเสสจึงเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของประชาชน และบอกเรื่องที่พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งท่านไว้
- อพยพ 19:8 - แล้วประชาชนต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวว่า “เราจะทำทุกสิ่งตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้” โมเสสจึงรายงานกับพระผู้เป็นเจ้าตามคำพูดของประชาชน
- อพยพ 19:9 - พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะมาพบกับเจ้าท่ามกลางเมฆหนาทึบ เพื่อให้ประชาชนได้ยินเสียงที่เราพูดกับเจ้า ตั้งแต่นี้ไปเขาจะเชื่อเจ้าด้วย” โมเสสจึงบอกประชาชนตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้
- อพยพ 19:10 - พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกให้ประชาชนชำระตัวให้บริสุทธิ์ทั้งวันนี้และพรุ่งนี้ และพวกเขาต้องซักเสื้อผ้า
- อพยพ 19:11 - จงเตรียมให้พร้อมภายในวันที่สาม เพราะวันที่สามพระผู้เป็นเจ้าจะลงมาที่ภูเขาซีนายต่อหน้าประชาชนทั้งปวง
- อพยพ 19:12 - เจ้าต้องกำหนดเขตแก่ประชาชนโดยรอบบริเวณและบอกว่า ‘อย่าขึ้นไปบนภูเขาหรือแม้แต่จะแตะต้องเชิงเขา ใครที่แตะต้องภูเขาจะต้องตาย
- อพยพ 19:13 - เขาจะถูกหินขว้างจนตายหรือไม่ก็ถูกยิงด้วยธนู และก็อย่าให้ใครถูกต้องตัวคนนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์ที่แตะต้องเชิงเขา ก็อย่าให้มีชีวิตอยู่เลย’ แต่เมื่อได้ยินเสียงแตรงอน เป่ายาวๆ ก็ให้พวกเขาขึ้นมาบนภูเขา”
- อพยพ 19:14 - โมเสสจึงลงจากภูเขาไปหาประชาชน บอกให้พวกเขาชำระตัวให้บริสุทธิ์และซักเสื้อผ้าด้วย
- อพยพ 19:15 - ท่านพูดกับประชาชนว่า “จงเตรียมตัวให้พร้อมในวันที่สาม จงอยู่ห่างผู้หญิงเข้าไว้”
- อพยพ 19:16 - เช้าของวันที่สามก็เกิดฟ้าแลบฟ้าร้อง มีเมฆหนาก้อนหนึ่งปกคลุมอยู่บริเวณภูเขา เสียงแตรงอนดังกึกก้องจนทำให้ประชาชนทั้งปวงที่อยู่ในค่ายหวาดกลัว
- อพยพ 19:17 - โมเสสพาประชาชนออกจากค่ายเพื่อไปพบกับพระเจ้า และพวกเขาก็ยืนกันอยู่ที่เชิงเขา
- อพยพ 19:18 - ภูเขาซีนายทั้งลูกมืดครึ้มด้วยหมอกควัน เพราะพระผู้เป็นเจ้าลงมาอยู่ที่นั่นในรูปลักษณ์ของเปลวไฟ ควันพลุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาผิง และภูเขาทั้งลูกก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
- อพยพ 19:19 - ขณะที่เสียงแตรงอนดังขึ้นเรื่อยๆ โมเสสพูดและพระเจ้าตอบท่านเป็นเสียงฟ้าร้อง
- อพยพ 19:20 - พระผู้เป็นเจ้าลงมายังภูเขาซีนาย ณ ที่ยอดเขา และพระผู้เป็นเจ้าเรียกโมเสสขึ้นไปที่ยอดภูเขา โมเสสก็ขึ้นไป
- กันดารวิถี 16:1 - โคราห์บุตรอิสฮาร์ ผู้เป็นบุตรโคฮาท ผู้เป็นบุตรเลวี ดาธานและอะบีรามบุตรของเอลีอับ (โอนบุตรเปเลท) และบรรดาบุตรรูเบน ทุกคนต่างก็บุ่มบ่าม
- กันดารวิถี 16:2 - และพากันมาประท้วงโมเสส พวกเขามาพร้อมกับชาวอิสราเอล 250 คนซึ่งเป็นหัวหน้าของมวลชนที่คัดเลือกมาจากคณะประชุมและเป็นที่รู้จักดี
- กันดารวิถี 16:3 - พวกเขามาประชุมร่วมกันเพื่อประท้วงโมเสสและอาโรน โดยกล่าวกับท่านทั้งสองว่า “พวกท่านกระทำเกินเหตุแล้ว เพราะมวลชนทั้งปวงบริสุทธิ์ ไม่เว้นแม้คนเดียว และพระผู้เป็นเจ้าอยู่ท่ามกลางพวกเขา แล้วทำไมท่านยกตัวเองเหนือคณะประชุมของพระผู้เป็นเจ้า”
- กันดารวิถี 16:4 - ครั้นโมเสสได้ยินก็ซบหน้าลงกับพื้น
- กันดารวิถี 16:5 - และท่านพูดกับโคราห์และพวกของเขาว่า “ตอนรุ่งเช้าพระผู้เป็นเจ้าจะแสดงว่าใครเป็นของพระองค์และใครบริสุทธิ์ และพระองค์จะให้คนนั้นเข้ามาใกล้พระองค์ พระองค์จะให้คนที่พระองค์เลือกเป็นผู้มาใกล้พระองค์
- กันดารวิถี 16:6 - โคราห์และพรรคพวกจงกระทำอย่างนี้คือ จงเอากระถางไฟของตนมา
- กันดารวิถี 16:7 - ตักถ่านที่ลุกแดงใส่กระถางและวางเครื่องหอมไว้บนถ่าน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าในวันพรุ่งนี้ และชายใดที่พระผู้เป็นเจ้าเลือก ก็จะเป็นผู้บริสุทธิ์ บรรดาบุตรของเลวีเอ๋ย พวกท่านกระทำเกินเหตุไปเสียแล้ว”
- กันดารวิถี 16:8 - โมเสสพูดกับโคราห์ว่า “ขอให้บรรดาบุตรของเลวีฟังเถิด
- กันดารวิถี 16:9 - เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับพวกท่านนักหรือ ที่พระเจ้าของอิสราเอลได้แยกท่านออกมาจากมวลชนชาวอิสราเอล เพื่อนำท่านมาอยู่ใกล้พระองค์และปฏิบัติงานในที่พำนักของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่จะยืนอยู่ต่อหน้ามวลชน เพื่อช่วยเหลือรับใช้พวกเขา
- กันดารวิถี 16:10 - พระองค์ได้นำท่านและพี่น้องชาวเลวีของท่านทุกคนมาใกล้พระองค์ แล้วท่านจะแสวงหาตำแหน่งปุโรหิตด้วยอย่างนั้นหรือ
- กันดารวิถี 16:11 - ฉะนั้นที่ท่านและพวกของท่านมาชุมนุมกันก็เพื่อมาต่อว่าพระผู้เป็นเจ้า แล้วอาโรนเป็นอะไรเล่าที่ท่านจะบ่นพึมพำต่อว่าเขา”
- กันดารวิถี 16:12 - ครั้นแล้วโมเสสให้ไปเรียกดาธานและอะบีรามบุตรเอลีอับมา แต่เขาทั้งสองกลับพูดว่า “พวกเราจะไม่ขึ้นไป
- กันดารวิถี 16:13 - ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยหรืออย่างไรที่ท่านพาพวกเราออกมาจากดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง เพื่อจะฆ่าเราในถิ่นทุรกันดาร ท่านมาทำตนเป็นเจ้านายเหนือพวกเรา
- กันดารวิถี 16:14 - ยิ่งกว่านั้นท่านก็ยังไม่ได้พาเราเข้าไปในดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง และแม้แต่จะให้เราได้รับนาหรือสวนองุ่นเป็นมรดก ท่านจะยังนำชายเหล่านี้ให้หลงผิดต่อไปอีกหรือ พวกเราจะไม่ขึ้นไป”
- กันดารวิถี 16:15 - โมเสสโกรธมาก ท่านพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอพระองค์อย่ารับของถวายจากพวกเขาเลย ข้าพเจ้าไม่ได้เอาลาสักตัวจากพวกเขา และไม่ทำอันตรายแก่พวกเขาสักคน”
- กันดารวิถี 16:16 - โมเสสพูดกับโคราห์ว่า “ท่านและพรรคพวกของท่านจงแสดงตน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าในวันพรุ่งนี้ คือทั้งตัวท่านเอง พรรคพวก และอาโรนด้วย
- กันดารวิถี 16:17 - แต่ละคนควรนำกระถางไฟของตนไปพร้อมกับเครื่องหอม ทุกคนจงนำกระถางไฟของตนไป ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า รวมจำนวน 250 กระถาง ตัวท่านเองและอาโรนด้วย แต่ละคนถือกระถางไฟของตนเอง”
- สดุดี 135:8 - พระองค์เป็นผู้ฆ่าบุตรหัวปีในอียิปต์ ไม่เลือกว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยง
- สดุดี 135:9 - พระองค์บันดาลปรากฏการณ์และสิ่งมหัศจรรย์ในท่ามกลางประเทศอียิปต์ เป็นการต่อต้านฟาโรห์และหมู่บริวาร
- สดุดี 135:10 - พระองค์เป็นผู้ฆ่าประชาชาติมากหลาย และสังหารหมู่กษัตริย์ใจฉกาจ
- สดุดี 135:11 - สิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ โอกกษัตริย์แห่งแคว้นบาชาน และอาณาจักรทั้งหมดของคานาอัน
- สดุดี 135:12 - พระองค์มอบผืนแผ่นดินของคนเหล่านั้นให้เป็นมรดก เป็นมรดกแก่คนของพระองค์คืออิสราเอล
- เนหะมีย์ 9:10 - และแสดงปรากฏการณ์และสิ่งมหัศจรรย์ต่อต้านฟาโรห์และบรรดาผู้รับใช้ และประชาชนทั้งปวงในแผ่นดินของเขา เพราะพระองค์ทราบว่า พวกเขาประพฤติด้วยความยโสต่อบรรพบุรุษของเรา และพระองค์ทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่เลื่องลือ อย่างที่เป็นมาจนถึงทุกวันนี้
- สดุดี 105:39 - พระองค์คลี่ก้อนเมฆออกเป็นร่มเงา แสงจากเพลิงเป็นแสงสว่างในยามค่ำ
- สดุดี 105:40 - พวกเขาเรียกร้อง และพระองค์ก็ให้นกกระทา และให้รับประทานอาหารที่ตกลงจากฟ้าจนอิ่มหนำ
- สดุดี 105:41 - พระองค์แยกหิน แล้วน้ำก็พวยพุ่งออกมา ไหลไปรวมเป็นแม่น้ำในที่กันดาร
- สดุดี 105:42 - เพราะพระองค์ระลึกถึงคำสัญญาอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และระลึกถึงอับราฮัมผู้รับใช้ของพระองค์
- สดุดี 105:43 - พระองค์จึงพาชนชาติของพระองค์ไปโดยที่พวกเขารื่นเริงเบิกบาน และบรรดาผู้ที่พระองค์เลือกไว้ไปกับเสียงร้องด้วยความยินดี
- สดุดี 105:44 - และพระองค์มอบแผ่นดินของประชาชาติให้กับอิสราเอล และพวกเขาได้ไร่นาจากบรรดาชนชาติมาเป็นของตน
- สดุดี 105:45 - เพื่อชนชาติของพระองค์จะได้รักษากฎเกณฑ์ของพระองค์ และปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระองค์ จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
- กันดารวิถี 20:1 - ชาวอิสราเอลทั้งมวลเข้าไปในถิ่นทุรกันดารศินในเดือนแรก และประชาชนอยู่ที่คาเดชซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งมิเรียมสิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่นั่น
- กันดารวิถี 20:2 - มวลชนเหล่านั้นไม่มีน้ำจะใช้ พวกเขาจึงประชุมกันและประท้วงโมเสสและอาโรน
- กันดารวิถี 20:3 - และประชาชนโต้แย้งโมเสสว่า “ถ้าพวกเราตายไปพร้อมๆ กับพี่น้องของเรา ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าก็คงจะดี
- กันดารวิถี 20:4 - ทำไมพวกท่านถึงได้พามวลชนของพระผู้เป็นเจ้าเข้ามาในถิ่นทุรกันดารแห่งนี้และให้เราตายกันที่นี่ ทั้งพวกเราและฝูงสัตว์
- กันดารวิถี 20:5 - และทำไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากอียิปต์ แล้วเข้ามายังที่ยากลำบากเช่นนี้ ที่นี่ไม่มีธัญพืชหรือผลมะเดื่อ เถาองุ่นหรือผลทับทิม และไม่มีแม้แต่น้ำให้ดื่ม”
- กันดารวิถี 20:6 - โมเสสและอาโรนออกจากที่ประชุมไปที่ทางเข้ากระโจมที่นัดหมาย และซบหน้าลงกับพื้น พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่ท่านทั้งสอง
- กันดารวิถี 20:7 - พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า
- กันดารวิถี 20:8 - “จงหยิบไม้เท้า และเรียกประชุมมวลชน ทั้งเจ้าและอาโรนพี่ชายของเจ้า และเจ้าจงพูดกับหินต่อหน้าพวกเขา และมันจะมีน้ำไหลออกมา เจ้าจงเอาน้ำจากหินให้พวกเขา ให้มวลชนและฝูงสัตว์ดื่มน้ำ”
- กันดารวิถี 20:9 - โมเสสหยิบไม้เท้าไปจากเบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าตามที่พระองค์บัญชา
- กันดารวิถี 20:10 - โมเสสและอาโรนเรียกประชุมกันที่หิน และท่านพูดกับพวกเขาว่า “ท่านพวกแข็งข้อ จงฟังเถิด เราต้องเอาน้ำออกจากหินนี้มาให้พวกท่านหรือ”
- กันดารวิถี 20:11 - และโมเสสยกมือขึ้น ใช้ไม้เท้าของท่านตีหิน 2 ครั้ง แล้วน้ำก็ไหลพรูออกมา มวลชนและฝูงสัตว์ก็ได้มีน้ำดื่ม
- กันดารวิถี 20:12 - พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า “เป็นเพราะพวกเจ้าไม่เชื่อในตัวเราพอที่จะแสดงต่อหน้าชาวอิสราเอลว่าเราบริสุทธิ์ ฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้นำมวลชนเหล่านี้เข้าไปยังแผ่นดินที่เราได้มอบให้แก่พวกเขา”
- กันดารวิถี 20:13 - นี่คือน้ำแห่งเมรีบาห์ เป็นที่ที่ชาวอิสราเอลโต้แย้งกับพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์แสดงให้เห็นว่า พระองค์บริสุทธิ์ท่ามกลางพวกเขา
- กันดารวิถี 20:14 - โมเสสได้ให้พวกผู้ส่งข่าวจากคาเดชไปยังกษัตริย์แห่งเอโดม โดยกล่าวว่า “อิสราเอลซึ่งเป็นพี่น้องของท่านกล่าวดังนี้ ท่านทราบถึงความยากลำบากทุกประการที่พวกเราได้ประสบมา
- กันดารวิถี 20:15 - เหล่าบรรพบุรุษของเราลงไปยังอียิปต์ และเราได้อาศัยอยู่ที่อียิปต์หลายปี ชาวอียิปต์ทารุณพวกเราและบรรพบุรุษ
- กันดารวิถี 20:16 - เมื่อเราร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ก็ได้ยินเสียงของเรา และให้ทูตสวรรค์มานำพวกเราออกไปจากอียิปต์ ดูเถิด พวกเรากำลังอยู่ที่คาเดชเมืองที่ชายพรมแดนของท่าน
- กันดารวิถี 20:17 - โปรดให้พวกเราผ่านทางดินแดนของท่านเถิด โดยเราจะไม่ผ่านไปทางไร่นาหรือสวนองุ่น และจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อ เราจะมุ่งหน้าไปตามถนนหลวง โดยไม่เลี้ยวขวาเลี้ยวซ้าย จนกว่าจะผ่านพรมแดนของท่านไปแล้ว”
- กันดารวิถี 20:18 - แต่เอโดมบอกเขาว่า “ท่านจะผ่านไปไม่ได้ มิฉะนั้นเราจะใช้ดาบต่อสู้พวกท่าน”
- กันดารวิถี 20:19 - ชาวอิสราเอลพูดตอบว่า “พวกเราจะขึ้นไปบนทางหลวง และถ้าเราหรือฝูงปศุสัตว์ก็ตามดื่มน้ำของท่าน เราก็จะจ่ายให้ ขอแต่เพียงให้เราเดินผ่านไปเท่านั้น”
- กันดารวิถี 20:20 - แต่ท่านตอบว่า “ท่านจะผ่านไปไม่ได้” แล้วเอโดมกับกองทัพใหญ่ที่เข้มแข็งก็ออกมาโจมตีพวกเขา
- กันดารวิถี 20:21 - เอโดมไม่ยอมให้อิสราเอลผ่านทางพรมแดนของตน ดังนั้นอิสราเอลจึงหันไปจากเอโดม
- สดุดี 95:10 - เราขยะแขยงชนยุคนั้นอยู่ 40 ปี เราจึงกล่าวว่า ‘จิตใจของเขาเหล่านั้นหลงผิดเสมอ และเขาไม่รู้วิถีทางของเรา’
- กิจการของอัครทูต 7:42 - พระเจ้าจึงหันจากไปโดยปล่อยให้เขาไปนมัสการหมู่ดาวในท้องฟ้า ดังที่ปรากฏเป็นบันทึกในหมวดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า ‘โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เจ้านำเครื่องสักการะและของถวาย มาเซ่นสรวงเรา 40 ปีในถิ่นทุรกันดารหรือ
- สดุดี 78:12 - ขณะที่บรรพบุรุษของพวกเขาเฝ้าดู พระเจ้าก็ได้แสดงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ในดินแดนอียิปต์ ที่ไร่นาของโศอัน
- สดุดี 78:13 - พระองค์แหวกน้ำทะเลออกจากกันเพื่อให้พวกเขาเดินผ่านไป และทำให้น้ำแหวกเป็นสองฟากฝั่งสูงทะมึน
- สดุดี 78:14 - กลางวันพระองค์นำพวกเขาไปใต้เงาเมฆ และอาศัยแสงจากเพลิงไฟตลอดทั้งคืน
- สดุดี 78:15 - พระองค์ทำให้หินในถิ่นทุรกันดารแตกออก เพื่อให้พวกเขามีน้ำดื่มได้มากมายราวกับน้ำจากห้วงน้ำลึก
- สดุดี 78:16 - พระองค์ทำให้ธารน้ำไหลออกจากหิน และทำให้น่านน้ำไหลลงดั่งแม่น้ำ
- สดุดี 78:17 - ถึงกระนั้นพวกเขายังกระทำบาปต่อพระองค์ไว้มาก เขาลองดีกับองค์ผู้สูงสุดในถิ่นทุรกันดาร
- สดุดี 78:18 - พวกเขาตั้งใจลองดีกับพระเจ้า โดยเรียกร้องอาหารที่เขานึกอยาก
- สดุดี 78:19 - พวกเขาพูดเหยียดหยามพระเจ้าว่า “พระเจ้าจะหาสำรับในถิ่นทุรกันดารมาให้ได้ไหม
- สดุดี 78:20 - พระองค์กระทบหินเพื่อให้น้ำพวยพุ่งขึ้น และลำธารไหลล้น พระองค์ให้ขนมปัง หรือจัดหาเนื้อสัตว์เพื่อชนชาติของพระองค์ได้ด้วยหรือ”
- สดุดี 78:21 - ครั้นพระผู้เป็นเจ้าได้ยินก็โกรธเกรี้ยว ความกริ้วของพระองค์ที่มีต่อยาโคบปะทุขึ้นดั่งเพลิง ลุกโชนขึ้นต่ออิสราเอล
- สดุดี 78:22 - เพราะพวกเขาไม่มีความเชื่อในพระเจ้า และไม่วางใจในอานุภาพของพระองค์ที่จะช่วยเขาให้รอดพ้นได้
- สดุดี 78:23 - ถึงกระนั้นพระองค์ยังบัญชาหมู่เมฆเบื้องบน และเปิดประตูท้องฟ้า
- สดุดี 78:24 - แล้วพระองค์โปรดให้มานาโปรยลงมาให้พวกเขารับประทาน พระองค์ให้เมล็ดข้าวแห่งสวรรค์แก่พวกเขา
- สดุดี 78:25 - แต่ละคนได้รับประทานขนมปังของทูตสวรรค์ พระองค์ให้อาหารแก่พวกเขาอย่างอุดมสมบูรณ์
- สดุดี 78:26 - พระองค์ทำให้ลมตะวันออกพัดในฟ้าสวรรค์ และพระองค์นำลมใต้ออกไปด้วยพละกำลังของพระองค์
- สดุดี 78:27 - พระองค์โปรดให้เนื้อสัตว์เทลงมาเพื่อพวกเขามากมายราวกับฝุ่นผง เป็นตัวนกจำนวนมากราวกับเม็ดทรายในทะเล
- สดุดี 78:28 - พระองค์ทำให้เนื้อสัตว์ตกอยู่ท่ามกลางค่ายของพวกเขา รอบๆ บริเวณที่เขาอาศัยอยู่
- สดุดี 78:29 - แล้วพวกเขารับประทานกันจนอิ่มหนำ เพราะพระองค์ให้สิ่งที่พวกเขาอยาก
- สดุดี 78:30 - แต่ยังไม่ทันหายอยาก คือในขณะที่อาหารยังอยู่ในปากพวกเขา
- สดุดี 78:31 - ความกริ้วของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อพวกเขา แล้วพระองค์ฆ่าชายฉกรรจ์ที่สุดของพวกเขา พระองค์ทำให้บรรดาชายหนุ่มที่เก่งกาจของอิสราเอลสิ้นชีวิตลง
- สดุดี 78:32 - แม้กระนั้นพวกเขายังจะทำบาปอีก แม้พระองค์ได้ทำให้เห็นสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ แล้ว พวกเขาก็ยังไม่เชื่อ
- สดุดี 78:33 - ดังนั้น พระองค์ทำให้วันเวลาของเขาสิ้นสุดลงดั่งลมหายใจ และปีของเขามีแต่ความพินาศ
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:25 - วันนี้เราจะเริ่มทำให้ชนชาติทั้งโลกหวาดหวั่นพรั่นกลัวเจ้า เขาจะตัวสั่นเมื่อได้ยินเรื่องของเจ้า และเจ็บปวดรวดร้าวเพราะเจ้า’
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:26 - ฉะนั้น เราให้ผู้ส่งข่าวจากถิ่นทุรกันดารเคเดโมทไปหาสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบนด้วยข้อเสนออันสันติว่า
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:27 - ‘ให้เราผ่านเข้าไปในดินแดนของท่านเถิด เราจะไปเฉพาะเส้นทางสายหลักเท่านั้น จะไม่เลียบซ้ายหรือขวา
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:28 - อาหารและน้ำที่เราจะดื่มกิน เราจะใช้เงินซื้อจากท่าน ขอแต่เพียงท่านให้เราเดินผ่านเข้าไปเท่านั้น
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:29 - เหมือนกับที่ลูกหลานของเอซาวที่อาศัยอยู่ที่เสอีร์ และชาวโมอับที่อาศัยอยู่ที่อาร์ได้ให้เราผ่าน จนกว่าเราจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยังดินแดนที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรามอบแก่พวกเรา’
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:30 - แต่สิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบนไม่ยอมให้เราผ่านเข้าไป เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่านทำให้วิญญาณของสิโหนแข็งกระด้าง และทำให้ใจแข็ง เพื่อให้สิโหนตกอยู่ในมือของพวกท่านอย่างที่พระองค์กระทำแล้วในวันนี้
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:31 - แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘ดูเถิด เราได้มอบสิโหนและดินแดนของเขาให้แก่พวกเจ้าแล้ว เจ้าจงเริ่มยึดครองดินแดนไว้เป็นเจ้าของ’
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:32 - เมื่อสิโหนกับคนของท่านออกมาสู้รบกับพวกเราที่ยาฮาส
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:33 - พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราก็มอบตัวท่านให้แก่พวกเรา เราจึงกำจัดสิโหนรวมทั้งบรรดาบุตรและคนของท่านทุกคนด้วย
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:34 - เรายึดเมืองทั้งหมดที่เป็นของท่านในเวลานั้นได้ และทำลายทุกๆ เมืองจนราบคาบ ทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็ก ไม่มีใครเหลือรอดมาได้สักคน
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:35 - ยกเว้นแต่สัตว์เลี้ยงและสิ่งมีค่าในเมืองที่เรายึดได้เท่านั้นที่ริบไว้ใช้เอง
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:36 - จากเมืองอาโรเออร์ซึ่งอยู่ที่ริมลุ่มน้ำอาร์โนน และจากเมืองที่แถบลุ่มน้ำนั้นจนถึงแคว้นกิเลอาด ไม่มีเมืองใดสูงและแกร่งเกินกำลังของพวกเรา พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราได้มอบทุกเมืองไว้ในมือของพวกเรา
- เฉลยธรรมบัญญัติ 2:37 - ยกเว้นดินแดนของลูกหลานชาวอัมโมนที่พวกท่านไม่ได้เข้าไปใกล้คือ แถบฝั่งแม่น้ำยับบอกและเมืองต่างๆ ในแถบภูเขา และพื้นที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราห้ามไม่ให้เข้าไป
- กันดารวิถี 9:15 - ในวันที่จัดตั้งกระโจมที่พำนัก มีก้อนเมฆปกคลุมกระโจมที่พำนัก ซึ่งเป็นกระโจมแห่งพันธสัญญา และในเวลาเย็น เมฆนั้นอยู่เบื้องบนกระโจมที่พำนักในลักษณะของเพลิงไฟจนกระทั่งเช้า
- กันดารวิถี 9:16 - เป็นอย่างนั้นเรื่อยไป มีก้อนเมฆปกคลุมที่พำนัก และมีลักษณะของเพลิงไฟในยามกลางคืน
- กันดารวิถี 9:17 - เมื่อใดเมฆลอยตัวขึ้นจากกระโจม ชาวอิสราเอลก็ออกเดินทางต่อไป ที่ใดเมฆหยุดอยู่ ชาวอิสราเอลก็ไปตั้งค่ายอยู่ที่นั่น
- กันดารวิถี 9:18 - ชาวอิสราเอลออกเดินทางตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และชาวอิสราเอลไปตั้งค่ายตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ตราบที่ก้อนเมฆหยุดอยู่เหนือกระโจมที่พำนัก พวกเขาก็จะยังคงตั้งค่ายอยู่
- กันดารวิถี 9:19 - เมื่อก้อนเมฆอยู่เหนือกระโจมที่พำนักเป็นเวลาหลายวัน ชาวอิสราเอลก็ปฏิบัติตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าโดยไม่ออกเดินทาง
- กันดารวิถี 9:20 - บางครั้งเมื่อก้อนเมฆอยู่เหนือกระโจมที่พำนักเพียงไม่กี่วัน พวกเขาก็ไปตั้งค่ายอยู่ตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และออกเดินทางตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า
- กันดารวิถี 9:21 - ในบางครั้งเมื่อก้อนเมฆคงอยู่ตั้งแต่เย็นจนถึงเช้า แต่เมื่อเมฆนั้นลอยตัวขึ้นในยามเช้า พวกเขาก็จะออกเดินทางต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ตาม เมื่อเมฆลอยขึ้นพวกเขาก็ออกเดินทาง
- กันดารวิถี 9:22 - ไม่ว่าก้อนเมฆจะอยู่เหนือกระโจมที่พำนักเพียง 2 วัน 1 เดือน หรือ 1 ปี ชาวอิสราเอลจะไปตั้งค่ายอยู่ โดยไม่ออกเดินทาง แต่เมื่อเมฆนั้นลอยตัวขึ้น พวกเขาจะออกเดินทางต่อไป
- กันดารวิถี 9:23 - พวกเขาไปตั้งค่ายตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาออกเดินทางตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้มอบไว้กับโมเสส
- กันดารวิถี 11:1 - ประชาชนต่างพากันบ่นเรื่องความทุกข์ยาก จนเข้าหูพระผู้เป็นเจ้า เมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้ยิน ความกริ้วของพระองค์ก็พลุ่งขึ้น เปลวเพลิงของพระผู้เป็นเจ้าจึงลุกไหม้ท่ามกลางพวกเขาและรอบนอกค่ายบางส่วนด้วย
- กันดารวิถี 11:2 - ประชาชนร้องต่อโมเสส ท่านก็อธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า ไฟจึงมอดลง
- กันดารวิถี 11:3 - สถานที่นั้นจึงเรียกว่า ทาเบราห์ เพราะเพลิงไฟของพระผู้เป็นเจ้าได้ลุกไหม้ท่ามกลางพวกเขา
- กันดารวิถี 11:4 - คนชาติอื่นในหมู่ชาวอิสราเอลนึกอยากจะกินอาหารบางชนิดเป็นอย่างยิ่ง ชาวอิสราเอลนั่งร่ำไห้อีก และพูดกันว่า “ใครจะให้เนื้อพวกเรากินได้บ้างนี่
- กันดารวิถี 11:5 - พวกเรายังจำได้ว่ามีปลาที่เคยกินในอียิปต์โดยไม่ต้องเสียเงิน อีกทั้งแตงกวา แตงโม ต้นหอมเทศ หัวหอม และกระเทียม
- กันดารวิถี 11:6 - บัดนี้ชีวิตจิตใจของเราห่อเหี่ยว แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากมานานี้เท่านั้น”
- กันดารวิถี 11:7 - มานาเป็นเหมือนเมล็ดผักชี และมีลักษณะคล้ายกับยางไม้หอม
- กันดารวิถี 11:8 - ผู้คนเดินเก็บมานามาบดด้วยโม่หรือใส่ครกตำ ใส่หม้อต้มเพื่อทำเป็นขนม มีรสชาติเหมือนขนมอบกับน้ำมัน
- กันดารวิถี 11:9 - ยามน้ำค้างลงในยามค่ำที่ค่าย มานาก็ตกลงมาพร้อมกับน้ำค้างนั้น
- กันดารวิถี 11:10 - โมเสสได้ยินผู้คนของแต่ละครอบครัวยืนร่ำไห้อยู่ที่ทางเข้าประตูกระโจมของตนเอง พระผู้เป็นเจ้าโกรธกริ้วมาก และโมเสสเองก็เป็นทุกข์
- กันดารวิถี 11:11 - โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “ทำไมพระองค์จึงทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์ต้องลำบาก และทำไมข้าพเจ้าไม่เป็นที่โปรดปรานในสายตาของพระองค์ พระองค์จึงได้ให้ข้าพเจ้าแบกภาระของประชาชนทั้งหมดนี้
- กันดารวิถี 11:12 - ข้าพเจ้าตั้งครรภ์ผู้คนเหล่านี้มาหรือ ข้าพเจ้าให้พวกเขาเกิดมาในโลกนี้หรือ พระองค์จึงได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘จงอุ้มเขาไว้แนบอกเหมือนผู้เลี้ยงอุ้มทารก และนำเขาเข้าไปในแผ่นดินที่พระองค์ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา’
- กันดารวิถี 11:13 - ข้าพเจ้าจะไปเอาเนื้อจากไหนมาให้คนเหล่านี้ได้ทั้งหมด พวกเขาร่ำไห้ต่อหน้าข้าพเจ้าและขอว่า ‘ขอให้พวกเราได้กินเนื้อเถิด’
- กันดารวิถี 11:14 - ข้าพเจ้าไม่สามารถดูแลประชาชนทั้งหมดตามลำพังได้ ภาระนี้หนักเกินไปสำหรับข้าพเจ้า
- กันดารวิถี 11:15 - ถ้าพระองค์จะทำกับข้าพเจ้าเช่นนี้ ก็ฆ่าข้าพเจ้าให้ตายทันทีไปเสียเลย หากว่าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ ข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องเห็นความน่าสมเพชของตัวเอง”
- กันดารวิถี 11:16 - พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงรวบรวมชาย 70 คนจากบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลให้เรา เป็นคนที่เจ้ารู้ว่าเป็นผู้ใหญ่และเจ้าหน้าที่มีอำนาจเหนือประชาชน พาพวกเขามายังกระโจมที่นัดหมายและให้ยืนอยู่พร้อมกับเจ้าที่นั่น
- กันดารวิถี 11:17 - แล้วเราจะลงมาพูดกับเจ้าที่นั่น เราจะให้พระวิญญาณที่อยู่บนตัวเจ้ามาอยู่บนตัวพวกเขาด้วย แล้วพวกเขาจะรับภาระของประชาชนไปพร้อมกันกับเจ้า เพื่อเจ้าจะไม่ต้องแบกตามลำพัง
- กันดารวิถี 11:18 - จงบอกประชาชนว่า ‘ชำระตัวให้บริสุทธิ์สำหรับวันพรุ่งนี้ แล้วเจ้าจะได้เนื้อรับประทาน เพราะเราได้ยินพวกเจ้าร้องคร่ำครวญว่า “ใครจะให้เนื้อแก่พวกเรากิน พวกเราอยู่ดีกว่านี้ในอียิปต์” ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าจะให้เนื้อแก่พวกท่าน แล้วพวกท่านก็จะได้รับประทาน
- กันดารวิถี 11:19 - ท่านจะได้รับประทานไม่ใช่แค่วันเดียว หรือ 2 วัน 5 วัน 10 หรือ 20 วันเท่านั้น
- กันดารวิถี 11:20 - แต่นานถึง 1 เดือนเต็มจนท่านเหม็นเบื่อเอือมระอา เพราะท่านไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าผู้อยู่ท่ามกลางพวกท่าน และพวกท่านยังมาร้องคร่ำครวญต่อหน้าพระองค์ว่า “ทำไมพวกเราจึงได้ออกมาจากอียิปต์”’”
- กันดารวิถี 11:21 - แต่โมเสสพูดว่า “ข้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางชายฉกรรจ์ 600,000 คน และพระองค์กล่าวว่า ‘เราจะให้เนื้อพวกเขากินได้นานถึง 1 เดือนเต็ม’
- กันดารวิถี 11:22 - มีฝูงแพะแกะและโคมากพอไว้ฆ่าสำหรับพวกเขาหรือ มีปลาในทะเลมากพอที่จะให้พวกเขาไหม”
- กันดารวิถี 11:23 - และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “มือของพระผู้เป็นเจ้าสั้นเกินไปหรือ บัดนี้เจ้าจะเห็นว่าคำของเราจะเป็นจริงเพื่อเจ้าหรือไม่”
- กันดารวิถี 11:24 - โมเสสออกไปบอกประชาชนว่าพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่าอย่างไร และรวบรวมบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของประชาชน 70 คนให้ยืนอยู่รอบกระโจม
- กันดารวิถี 11:25 - พระผู้เป็นเจ้าลงมาในลักษณะของก้อนเมฆและกล่าวกับท่าน และให้พระวิญญาณที่อยู่บนตัวท่านมาอยู่บนตัวหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ 70 คนด้วย เมื่อพระวิญญาณสถิตบนพวกเขาแล้ว พวกเขาก็เผยคำกล่าวของพระเจ้า แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เผยคำกล่าวอีกเลย
- กันดารวิถี 11:26 - มีชาย 2 คนที่ยังอยู่ในค่าย คนหนึ่งชื่อเอลดาด อีกคนชื่อเมดาด และพระวิญญาณอยู่บนตัวเขาทั้งสองซึ่งมีชื่อบันทึกอยู่ในบรรดาผู้นำ แต่ยังไม่ได้ออกไปที่กระโจม ฉะนั้นเขาเผยคำกล่าวของพระเจ้าในค่าย
- กันดารวิถี 11:27 - มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาบอกโมเสสว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังเผยคำกล่าวของพระเจ้าในค่าย”
- กันดารวิถี 11:28 - และโยชูวาบุตรของนูนรับใช้โมเสสตั้งแต่หนุ่มพูดว่า “โมเสส นายท่านห้าม 2 คนนั้นเถิด”
- กันดารวิถี 11:29 - แต่โมเสสตอบว่า “ท่านอิจฉาแทนเราหรือ เราปรารถนาให้ชนชาติของพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะให้พระวิญญาณของพระองค์อยู่บนตัวเขาทุกคน”
- กันดารวิถี 11:30 - โมเสสและบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลก็กลับค่ายไป
- กันดารวิถี 11:31 - ครั้นแล้วก็มีลมพัดมาจากพระผู้เป็นเจ้านำนกกระทามาจากทะเล บินลงมาอาศัยอยู่รอบค่ายในระยะห่างเท่ากับเดินไปได้ 1 วัน และสูงจากพื้นดินประมาณ 2 ศอก
- กันดารวิถี 11:32 - ผู้คนพากันลุกขึ้นจับนกกระทาในวันนั้นตลอดวันตลอดคืนและตลอดในวันรุ่งขึ้นด้วย คนที่จับได้น้อยที่สุดได้ 10 โฮเมอร์ แล้วเขาก็ตากเนื้อมันไว้ที่รอบค่าย
- กันดารวิถี 11:33 - แต่ขณะที่เศษเนื้อยังติดอยู่ที่ฟันและยังเคี้ยวไม่หมดเสียด้วยซ้ำ พระผู้เป็นเจ้ากริ้วผู้คนเหล่านั้นมาก พระผู้เป็นเจ้าจึงทำให้พวกเขาเป็นโรคระบาดร้ายแรง
- กันดารวิถี 11:34 - ฉะนั้นจึงเรียกสถานที่นั้นว่า ขิบโรทหัทธาอาวาห์ เพราะเป็นสถานที่ฝังบรรดาผู้มีความตะกละอย่างยิ่ง
- กันดารวิถี 11:35 - ประชาชนออกเดินทางจากขิบโรทหัทธาอาวาห์ไปยังฮาเซโรท แล้วพวกเขาก็หยุดพักอยู่ที่นั่น
- กันดารวิถี 14:1 - แล้วมวลชนก็ส่งเสียงร้องลั่นและประชาชนร้องไห้เสียงดังในคืนวันนั้น
- กันดารวิถี 14:2 - และชาวอิสราเอลร่ำรำพันต่อโมเสสและอาโรน และมวลชนพูดกับท่านทั้งสองว่า “พวกเราน่าจะตายกันไปแล้วที่อียิปต์หรือในถิ่นทุรกันดาร
- กันดารวิถี 14:3 - ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึงจะนำพวกเราเข้าไปในดินแดนนี้เพื่อให้ตายด้วยคมดาบ ภรรยาและลูกๆ ของพวกเราจะกลายเป็นเหยื่อ มันไม่ดีกว่าหรือถ้าเรากลับไปที่อียิปต์”
- กันดารวิถี 14:4 - พวกเขาพูดต่อๆ กันไปว่า “เรามาเลือกผู้นำคนหนึ่งและกลับไปที่อียิปต์กันเถิด”
- กันดารวิถี 14:5 - โมเสสกับอาโรนก็ซบหน้าลงกับพื้นต่อหน้ามวลชนชาวอิสราเอลทั้งปวง
- กันดารวิถี 14:6 - โยชูวาบุตรของนูนกับคาเลบบุตรเยฟุนเนห์เป็นสองคนที่ร่วมไปสอดแนมดินแดนนั้นด้วยจึงฉีกเสื้อผ้าของตน
- กันดารวิถี 14:7 - และพูดกับมวลชนชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ดินแดนที่เราเห็นจากการสำรวจเป็นดินแดนที่ดีเหลือเกิน
- กันดารวิถี 14:8 - ถ้าพระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานพวกเรา พระองค์จะนำพวกเราเข้าสู่ดินแดนนี้ และจะมอบดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งให้แก่เรา
- กันดารวิถี 14:9 - แต่อย่าขัดขืนพระผู้เป็นเจ้า และอย่ากลัวประชาชนของดินแดนนั้น เพราะเขาเป็นเสมือนอาหารของเราและไม่มีที่คุ้มกันอีกแล้ว แต่พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย”
- กันดารวิถี 14:10 - แต่มวลชนทั้งปวงบอกให้ใช้หินขว้างพวกเขา ครั้นแล้วพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏที่กระโจมที่นัดหมายให้ชาวอิสราเอลเห็น
- กันดารวิถี 14:11 - และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ประชาชนพวกนี้จะดูหมิ่นเราอีกนานแค่ไหน และเขาจะไม่เชื่อในตัวเรานานแค่ไหนทั้งๆ ที่เราได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ทั้งหลายท่ามกลางพวกเขา
- กันดารวิถี 14:12 - เราจะให้โรคระบาดเกิดกับพวกเขาและกำจัดเสียให้สิ้น แล้วเราจะให้ประชาชาติหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าและเข้มแข็งกว่าพวกเขาเกิดขึ้นมาจากตัวเจ้า”
- กันดารวิถี 14:13 - แต่โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “ถ้าเช่นนั้นชาวอียิปต์ก็จะรู้เรื่องนี้ พระองค์ได้นำประชาชนพวกนี้ออกมาจากพวกเขาด้วยอานุภาพของพระองค์
- กันดารวิถี 14:14 - แล้วพวกเขาจะบอกกับผู้อยู่อาศัยในดินแดนนี้ว่าเขาได้ยินมาว่า โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์อยู่ท่ามกลางชนชาตินี้ โอ พระผู้เป็นเจ้า ด้วยว่า พระองค์ได้ปรากฏให้เขาเห็น เมฆของพระองค์อยู่เหนือพวกเขา และพระองค์ออกนำทางล่วงหน้าพวกเขาในตอนกลางวันในลักษณะของเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลัก และในตอนกลางคืนในลักษณะกลุ่มเพลิงขนาดมหึมาดั่งเสาหลัก
- กันดารวิถี 14:15 - มาบัดนี้ถ้าพระองค์ฆ่าชนชาตินี้ประหนึ่งฆ่าเพียงคนเดียว บรรดาประชาชาติที่ได้ยินเรื่องของพระองค์ก็จะพูดกันว่า
- กันดารวิถี 14:16 - ‘เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่สามารถนำชนชาตินี้เข้าไปยังดินแดนที่พระองค์ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่พวกเขา ดังนั้นพระองค์จึงได้ฆ่าพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร’
- กันดารวิถี 14:17 - บัดนี้ ข้าพเจ้าขอร้อง โปรดแสดงอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าให้ยิ่งใหญ่เถิด ตามที่พระองค์กล่าวไว้ว่า
- กันดารวิถี 14:18 - ‘พระผู้เป็นเจ้าไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรักอันมั่นคง ให้อภัยบาปและการล่วงละเมิด แต่ก็ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดรอดตัวไปได้ พระองค์จะทำให้บาปของบิดาตกทอดถึงบุตรของเขาไปจนถึง 3 และ 4 ชั่วอายุคน’
- กันดารวิถี 14:19 - ขอพระองค์โปรดให้อภัยบาปของประชาชนพวกนี้ตามความรักอันมั่นคงยิ่งของพระองค์เถิด และเป็นเพราะพระองค์ได้ยกโทษพวกเขาแล้วตั้งแต่ครั้งที่อยู่ในอียิปต์มาจนบัดนี้”
- กันดารวิถี 14:20 - พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เราได้ให้อภัยตามที่เจ้าขอ
- กันดารวิถี 14:21 - แต่อย่างไรก็ดี ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ และตราบที่ทั่วแผ่นดินโลกจะเต็มด้วยบารมีของพระผู้เป็นเจ้า
- กันดารวิถี 14:22 - ชายคนใดที่เคยเห็นบารมีและปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่เรากระทำในอียิปต์และในถิ่นทุรกันดาร แต่เขาก็ยังลองดีกับเราถึง 10 ครั้งและไม่ได้ฟังเสียงของเรา
- กันดารวิถี 14:23 - เขาเหล่านั้นก็จะไม่ได้เห็นดินแดนที่เราได้ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่บรรพบุรุษของเขา และใครก็ตามดูหมิ่นเราก็จะไม่ได้เห็นด้วยเช่นกัน
- กันดารวิถี 14:24 - แต่เพราะคาเลบผู้รับใช้ของเรามีจิตวิญญาณต่างกัน และเขาได้ตามเราอย่างจริงใจ เราก็จะนำเขาเข้าไปในดินแดนที่เขาเข้าไปมาแล้ว และบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเขาจะได้ยึดครองดินแดนนั้น
- กันดารวิถี 14:25 - ในเมื่อชาวอามาเลขและชาวคานาอันอาศัยอยู่ในหุบเขา พรุ่งนี้จงออกเดินทางกลับไปยังถิ่นทุรกันดารตามทางที่ไปทะเลแดง”
- กันดารวิถี 14:26 - และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า
- กันดารวิถี 14:27 - “เราจะต้องทนต่อมวลชนชั่วร้ายที่พร่ำบ่นต่อว่าต่อขานเราไปนานแค่ไหน เราได้ยินชาวอิสราเอลบ่นพึมพำต่อว่าเราแล้ว
- กันดารวิถี 14:28 - จงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ อะไรที่เจ้าพูดให้เราได้ยิน เราก็จะกระทำต่อเจ้าตามนั้น
- กันดารวิถี 14:29 - ศพของพวกเจ้าจะถูกทิ้งไว้ในถิ่นทุรกันดาร ทุกคนที่นับไว้ในทะเบียนที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปและบ่นพึมพำต่อว่าเรา
- กันดารวิถี 14:30 - จะไม่มีสักคนที่จะได้ก้าวเข้าไปในดินแดนที่เราได้ยกมือปฏิญาณให้เจ้าอาศัยอยู่ ยกเว้นคาเลบบุตรเยฟุนเนห์และโยชูวาบุตรของนูน
- กันดารวิถี 14:31 - ส่วนลูกๆ ของเจ้าที่บอกว่าจะกลายเป็นเหยื่อนั้น เราจะนำพวกเขาเข้าไป และเขาจะรู้จักดินแดนที่พวกเจ้าดูหมิ่น
- กันดารวิถี 14:32 - สำหรับพวกเจ้า ศพก็จะถูกทิ้งไว้ในถิ่นทุรกันดารนี้
- กันดารวิถี 14:33 - ลูกหลานของพวกเจ้าจะเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี และพวกเจ้าจะได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความไม่เชื่อ จนกระทั่งคนสุดท้ายของพวกเจ้าจะทอดร่างนอนตายในถิ่นทุรกันดาร
- กันดารวิถี 14:34 - พวกเจ้าจะได้รับความทุกข์ทรมานเนื่องจากบาปของเจ้าเป็นเวลา 40 ปีตามจำนวน 40 วันที่เจ้าได้สอดแนมดินแดนนั้น คือ 1 ปีต่อ 1 วัน แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าเราไม่พอใจเพียงไร
- กันดารวิถี 14:35 - เราคือพระผู้เป็นเจ้าได้ลั่นคำพูดไปแล้ว เราจะกระทำตามนี้ต่อมวลชนชั่วร้ายทั้งปวงที่มาชุมนุมร่วมกันต่อว่าเรา พวกเขาจะมาถึงจุดจบในถิ่นทุรกันดารแห่งนี้ และจะตายกันที่นั่น’”
- กันดารวิถี 14:36 - ดังนั้น บรรดาชายที่โมเสสส่งไปสอดแนมดินแดนและกลับมาทำให้มวลชนทั้งปวงบ่นพึมพำต่อว่าโมเสสโดยรายงานว่าดินแดนนั้นเลวร้าย
- กันดารวิถี 14:37 - บรรดาชายที่รายงานเป็นเรื่องร้ายๆ เกี่ยวกับดินแดนก็ตายด้วยโรคระบาดต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า
- กันดารวิถี 14:38 - แต่โยชูวาบุตรของนูนและคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ซึ่งได้ไปสอดแนมดินแดนด้วยนั้นยังมีชีวิตอยู่
- กันดารวิถี 14:39 - เมื่อโมเสสบอกเรื่องดังกล่าวแก่ชาวอิสราเอลทั้งปวง พวกเขาก็ร้องคร่ำครวญเป็นอย่างมาก
- กันดารวิถี 14:40 - ครั้นถึงรุ่งเช้าเมื่อพวกเขาลุกขึ้น โดยขึ้นไปยังแถบภูเขาสูงและพูดว่า “ดูเถิด เราจะขึ้นไปยังสถานที่ที่พระผู้เป็นเจ้าสัญญาไว้ เพราะพวกเราได้ทำผิดไปแล้ว”
- กันดารวิถี 14:41 - แต่โมเสสพูดว่า “ทำไมพวกท่านจึงฝืนต่อคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่ท่านทำจะไม่บังเกิดผลสำเร็จ
- กันดารวิถี 14:42 - อย่าขึ้นไปเลย ด้วยเกรงว่าท่านจะตายต่อหน้าศัตรู เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้อยู่กับท่าน
- กันดารวิถี 14:43 - ในที่นั้นชาวอามาเลขและชาวคานาอันรอเผชิญท่านอยู่ และท่านจะต้องตายด้วยคมดาบ เพราะพวกท่านหันหลังให้พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจะไม่อยู่กับท่าน”
- กันดารวิถี 14:44 - ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังฝืนขึ้นไปยังแถบภูเขาสูง แม้ว่าหีบพันธสัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้าและโมเสสไม่ได้ออกจากค่าย
- กันดารวิถี 14:45 - แล้วชาวอามาเลขและชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในแถบภูเขาจึงลงมาโจมตีพวกเขาและไล่โจมตีอย่างไม่ลดละจนถึงโฮร์มาห์
- อพยพ 16:1 - ชาวอิสราเอลทั้งมวลเดินทางต่อไปจากเอลิม และเมื่อถึงวันที่สิบห้าของเดือนที่สอง คือนับตั้งแต่เวลาที่พวกเขาไปจากอียิปต์ พวกเขาก็ได้มาถึงถิ่นทุรกันดารสีนซึ่งอยู่ระหว่างเอลิมและซีนาย
- อพยพ 16:2 - ชาวอิสราเอลทั้งมวลก็บ่นไม่พอใจต่อว่าโมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร
- อพยพ 16:3 - และพูดขึ้นว่า “ถ้าแม้ว่าพวกเราจะตายด้วยฝีมือของพระผู้เป็นเจ้าที่อียิปต์ เราก็ยังจะได้นั่งรับประทานเนื้อสัตว์กับขนมปังจนอิ่มหนำ แต่ท่านกลับพาพวกเราออกมาอดอยากจนตายในถิ่นทุรกันดารแห่งนี้”
- อพยพ 16:4 - พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะโปรยขนมปังลงมาจากฟ้าดั่งเม็ดฝนให้พวกเจ้า และผู้คนจะออกไปเก็บให้พอรับประทานในแต่ละวันได้ ก็เพราะเราจะทดสอบพวกเขาดูว่าจะปฏิบัติตามกฎบัญญัติของเราหรือไม่
- อพยพ 16:5 - ในวันที่หก ให้เขาเก็บและเตรียมอาหารมากกว่าวันอื่นๆ เป็นสองเท่า”
- อพยพ 16:6 - ดังนั้น โมเสสและอาโรนจึงบอกชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ตอนเย็นพวกท่านจะรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ที่นำท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์
- อพยพ 16:7 - และรุ่งเช้าท่านจะเห็นพระสง่าราศีของพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ได้ยินท่านบ่นไม่พอใจต่อว่าพระผู้เป็นเจ้า เราทั้งสองเป็นใครหรือ ท่านจึงได้บ่นต่อว่าเรา”
- อพยพ 16:8 - โมเสสพูดต่ออีกว่า “การที่พระผู้เป็นเจ้าให้เนื้อสัตว์แก่พวกท่านรับประทานในเวลาเย็นและขนมปังในเวลาเช้าจนอิ่มหนำ ก็เป็นเพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ยินท่านบ่นไม่พอใจต่อว่าพระองค์ เราทั้งสองเป็นใครหรือ เวลาท่านบ่นไม่พอใจก็มิใช่เป็นการต่อว่าเรา แต่เป็นการต่อว่าพระผู้เป็นเจ้า”
- อพยพ 16:9 - โมเสสพูดกับอาโรนว่า “บอกชาวอิสราเอลทั้งมวลว่า ‘จงมาอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ได้ยินท่านบ่นไม่พอใจแล้ว’”
- อพยพ 16:10 - และขณะที่อาโรนกำลังพูดอยู่กับชาวอิสราเอลทั้งมวล พวกเขามองไปทางถิ่นทุรกันดาร ดูเถิด พระสง่าราศีของพระผู้เป็นเจ้าปรากฏอยู่ในเมฆ
- อพยพ 16:11 - พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า
- อพยพ 16:12 - “เราได้ยินชาวอิสราเอลบ่นไม่พอใจ จงบอกพวกเขาว่า ‘ในเวลาโพล้เพล้พวกเจ้าจะรับประทานเนื้อสัตว์ และเวลาเช้าเจ้าจะรับประทานอาหารจนอิ่ม แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า’”
- อพยพ 16:13 - ครั้นพอตกเย็นจะมีนกกระทาบินลงมาอยู่เต็มค่าย และในยามเช้าน้ำค้างก็จะตกอยู่รายรอบค่าย
- อพยพ 16:14 - เมื่อน้ำค้างแห้งเหือดไปแล้วก็มีเกล็ดบางๆ ละเอียดราวกับน้ำค้างแข็งเกาะอยู่บนพื้นดินทั่วถิ่นทุรกันดาร
- อพยพ 16:15 - เมื่อชาวอิสราเอลเห็นก็พากันถามไถ่ว่า “นี่อะไร” เหตุเพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร โมเสสจึงบอกพวกเขาว่า “เป็นอาหารเกล็ดที่พระผู้เป็นเจ้าให้พวกท่านรับประทาน
- อพยพ 16:16 - พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ว่า ‘ทุกคนจงเก็บอาหารเกล็ดนี้ไว้ให้พอที่พวกเจ้าจะรับประทาน คือประมาณคนละ 1 โอเมอร์ และเก็บได้ตามจำนวนคนในกระโจมของตน’”
- อพยพ 16:17 - ชาวอิสราเอลทำตามคำนั้น บางคนเก็บมาก บางคนเก็บน้อย
- ฮีบรู 8:9 - เป็นพันธสัญญาที่จะไม่เหมือนกับที่ได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของเขา คือตอนที่เรานำพวกเขา เหมือนกับตอนที่จูงมือออกจากประเทศอียิปต์ เพราะพวกเขาไม่ภักดีต่อพันธสัญญาของเรา และเราหันหลังให้พวกเขา พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้เช่นนี้
- สดุดี 78:42 - เขาไม่ได้จำใส่ใจถึงอานุภาพของพระองค์ และวันที่พระองค์ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากศัตรู
- สดุดี 78:43 - และวันที่พระองค์สร้างปรากฏการณ์ต่างๆ ในประเทศอียิปต์ และสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ที่ไร่นาของโศอัน
- สดุดี 78:44 - พระองค์เปลี่ยนแม่น้ำของพวกเขาให้เป็นเลือด ทำให้น้ำจากลำธารดื่มไม่ได้
- สดุดี 78:45 - พระองค์ส่งฝูงแมลงไปกัดกินพวกเขา รวมทั้งให้ฝูงกบก่อกวนและสร้างความเสียหาย
- สดุดี 78:46 - พระองค์ให้ตัวบุ้งกินพืชผลที่พวกเขาปลูกไว้ และผลผลิตจากแรงงานก็ให้ฝูงตั๊กแตนกัดกิน
- สดุดี 78:47 - พระองค์ให้ลูกเห็บตกทำลายเถาองุ่นของพวกเขา และให้น้ำค้างแข็งเกาะต้นมะเดื่อ
- สดุดี 78:48 - ฝูงโคล้มตายเพราะลูกเห็บ และฝูงแพะแกะตายลงเพราะสายฟ้าแลบ
- สดุดี 78:49 - พระองค์ปลดปล่อยความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์ลงบนพวกเขา ความโกรธเกรี้ยว ความขัดเคือง และความแค้น ซึ่งมาในรูปของกลุ่มทูตสวรรค์แห่งความวิบัติ
- สดุดี 78:50 - พระองค์เปิดทางให้แก่ความกริ้วของพระองค์ และไม่ไว้ชีวิตพวกเขา และกำจัดชีวิตพวกเขาด้วยภัยพิบัติ
- สดุดี 78:51 - พระองค์กำจัดชีวิตลูกชายหัวปีทั้งหมดในอียิปต์ ซึ่งเป็นพละกำลังแรกของพวกเขาที่อยู่ในกระโจมของฮาม
- อพยพ 15:23 - เมื่อมาถึงบริเวณที่เรียกว่ามาราห์ น้ำที่มีอยู่ก็ไม่สามารถดื่มได้เพราะมีรสขม จึงได้ชื่อว่า มาราห์
- อพยพ 15:24 - ผู้คนจึงพากันบ่นไม่พอใจต่อว่าโมเสสว่า “พวกเราจะดื่มอะไรได้”
- อพยพ 15:25 - โมเสสจึงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจึงให้ท่านเห็นไม้ท่อนหนึ่ง เมื่อท่านโยนมันลงไปในน้ำ ก็ดื่มน้ำนั้นได้ พระผู้เป็นเจ้าตั้งกฎเกณฑ์และคำสั่ง แล้วพระองค์ก็ทดสอบพวกเขาที่นั่น
- สดุดี 106:8 - แม้กระนั้น พระองค์ยังช่วยพวกเขาให้รอดพ้นเพื่อพระนามของพระองค์ เพื่อให้อานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เป็นที่ประจักษ์
- สดุดี 106:9 - พระองค์ออกคำสั่งกับทะเลแดง และทะเลก็แห้งเหือดลง ครั้นแล้วพระองค์นำพวกเขาไปทางทะเลลึกราวกับไปทางถิ่นทุรกันดาร
- สดุดี 106:10 - พระองค์ช่วยพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรู และช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากอำนาจของข้าศึก
- สดุดี 106:11 - และกระแสน้ำก็ท่วมเหล่าปรปักษ์ โดยไม่มีใครรอดพ้นไปได้สักคน
- เฉลยธรรมบัญญัติ 8:4 - เสื้อผ้าที่ท่านสวมใส่ไม่ฉีกขาด และเท้าท่านก็ไม่บวมในระยะ 40 ปีนี้
- เนหะมีย์ 9:18 - แม้เวลาที่พวกเขาได้หล่อรูปลูกโคทองคำ และพูดว่า ‘นี่คือพระเจ้าของพวกเจ้า ผู้นำเจ้าออกมาจากอียิปต์’ และก็ได้พูดหมิ่นประมาทพระองค์อย่างร้ายแรง
- เนหะมีย์ 9:19 - พระองค์มีความเมตตายิ่งนัก และไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร เมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลักนำทางล่วงหน้าพวกเขาในตอนกลางวันไม่ได้ห่างไปจากพวกเขา เพลิงไฟขนาดมหึมาดั่งเสาหลักในตอนกลางคืน เพื่อส่องความสว่างช่วยให้พวกเขาเดินตามทางที่ควรจะไป
- เนหะมีย์ 9:20 - พระองค์ประทานพระวิญญาณประเสริฐของพระองค์เพื่อสอนพวกเขา และไม่ขยักมานาของพระองค์จากปากของพวกเขา และให้น้ำแก่พวกเขาเมื่อกระหาย
- เนหะมีย์ 9:21 - พระองค์ช่วยพวกเขาให้อยู่รอดในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาไม่ขาดเหลือสิ่งใด เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ไม่ฉีกขาด และเท้าก็ไม่บวม
- เนหะมีย์ 9:22 - พระองค์มอบบรรดาอาณาจักรและประชาชาติให้แก่พวกเขา และพระองค์จัดเขตที่ดินอันแสนไกลให้ด้วย พวกเขาจึงยึดแผ่นดินของสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบน และแผ่นดินของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน
- เฉลยธรรมบัญญัติ 4:33 - มีชาติใดที่เคยได้ยินเสียงเทพเจ้าเอ่ยจากเพลิงไฟดังที่ท่านได้ยิน และยังมีชีวิตอยู่ได้
- เฉลยธรรมบัญญัติ 4:34 - หรือมีเทพเจ้าใดที่พยายามนำประชาชาติหนึ่งที่อยู่ภายใต้การนำของอีกประชาชาติหนึ่งออกมาให้เป็นของเทพเจ้าเอง โดยใช้วิธีทดสอบโดยปรากฏการณ์อัศจรรย์ สิ่งมหัศจรรย์ โดยการสงคราม โดยอานุภาพและพลานุภาพ และโดยเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว เหมือนกับที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกระทำเพื่อท่านในอียิปต์ ให้เห็นต่อหน้าต่อตาพวกท่าน
- เฉลยธรรมบัญญัติ 4:35 - สิ่งเหล่านี้ปรากฏให้พวกท่านเห็น เพื่อให้ท่านทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้า และไม่มีผู้ใดอีกนอกจากพระองค์
- เฉลยธรรมบัญญัติ 4:36 - พระองค์ให้ท่านได้ยินพระองค์จากสวรรค์ เพื่อสอนท่านให้รู้จักวินัย ให้ท่านเห็นเพลิงไฟบนแผ่นดินโลก และให้ท่านได้ยินเสียงพระองค์กล่าวจากใจกลางเพลิงนั้น
- เฉลยธรรมบัญญัติ 4:37 - เพราะพระองค์รักบรรพบุรุษของท่าน และได้เลือกบรรดาผู้สืบเชื้อสายต่อมา พระองค์นำพวกท่านออกจากอียิปต์ด้วยพระองค์เองและด้วยพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
- อพยพ 14:27 - โมเสสจึงยื่นมือออกไปสู่ทะเล และน้ำก็ไหลกลับมาสู่ระดับเดิมเมื่อรุ่งอรุณ ชาวอียิปต์พยายามวิ่งหนีให้พ้นน้ำ พระผู้เป็นเจ้าทำให้ชาวอียิปต์ถูกซัดจมลงทะเล
- อพยพ 14:28 - น้ำไหลกลับมาท่วมรถศึก ทหารม้าและกองทัพของฟาโรห์ที่ไล่ตามชาวอิสราเอลลงไปในทะเล จึงไม่มีใครรอดตายสักคนเดียว
- อพยพ 14:29 - ขณะที่ชาวอิสราเอลได้เดินบนพื้นดินแห้งของทะเล ทั้ง 2 ฟากเป็นดั่งกำแพงน้ำให้พวกเขา
- สดุดี 105:27 - ทั้งสองท่านได้แสดงสิ่งอัศจรรย์ของพระเจ้าท่ามกลางพวกเขา และสิ่งมหัศจรรย์ในดินแดนของฮาม
- สดุดี 105:28 - พระองค์ให้มีความมืดและทำให้ดินแดนมืดมิด แต่พวกเขาขัดคำสั่งของพระองค์
- สดุดี 105:29 - พระองค์ทำให้น้ำที่มีอยู่ของพวกเขากลายเป็นเลือด อันเป็นเหตุให้ปลาตาย
- สดุดี 105:30 - แผ่นดินของพวกเขาเต็มไปด้วยกบ แม้ในห้องพักของเชื้อพระวงศ์
- สดุดี 105:31 - เพียงพระองค์กล่าว แมลงเป็นฝูงๆ ก็พากันบินมา และตัวริ้นแพร่ขยายไปทั่วอาณาเขตของเขาทั้งปวง
- สดุดี 105:32 - พระองค์ทำให้ลูกเห็บตกแทนฝน และสายฟ้าแลบแปลบปลาบไปทั่วแผ่นดินของเขา
- สดุดี 105:33 - พระองค์ทำลายเถาองุ่นและต้นมะเดื่อของพวกเขา และโค่นต้นไม้ในอาณาเขตของเขาลง
- สดุดี 105:34 - เพียงพระองค์กล่าว ฝูงตั๊กแตนก็พากันมา มีตั๊กแตนเล็กมากมายจนนับไม่ถ้วน
- สดุดี 105:35 - พวกมันกัดกินพืชทั้งหมดในแผ่นดินของเขา และกินผลที่ได้จากการเพาะปลูกจนเกลี้ยง
- สดุดี 105:36 - พระองค์ผลาญชีวิตลูกหัวปีทุกคนบนแผ่นดิน ผลแรกแห่งพละกำลังทั้งปวงของพวกเขา
- อพยพ 7:1 - พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “คอยดูเถิด เราจะทำให้เจ้าเป็นเสมือนพระเจ้าแก่ฟาโรห์ ส่วนอาโรนพี่ชายของเจ้าจะเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแทนเจ้า
- อพยพ 7:2 - เจ้าจะพูดทุกสิ่งที่เราสั่งให้พูด และอาโรนพี่ชายของเจ้าก็จะบอกฟาโรห์ให้ปล่อยชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของเขา
- อพยพ 7:3 - แต่เราจะเป็นผู้ทำจิตใจของฟาโรห์ให้แข็งกระด้าง และแม้ว่าเราจะแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์และสิ่งมหัศจรรย์เพิ่มมากขึ้นที่แผ่นดินอียิปต์
- อพยพ 7:4 - ฟาโรห์ก็จะไม่ฟังเจ้า แล้วเราจะลงมือกับอียิปต์ และพากองทัพของเรา ชนชาติของเรา คือชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินอียิปต์โดยการลงโทษอียิปต์สถานหนัก
- อพยพ 7:5 - และชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเรายื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษพวกเขา และพาชาวอิสราเอลออกไปจากพวกเขา”
- อพยพ 7:6 - โมเสสกับอาโรนจึงไปทำตามนั้น ท่านทั้งสองกระทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าสั่ง
- อพยพ 7:7 - ตอนที่ท่านทั้งสองไปพูดกับฟาโรห์นั้น โมเสสมีอายุได้ 80 ปี และอาโรนมีอายุ 83 ปี
- อพยพ 7:8 - พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า
- อพยพ 7:9 - “เวลาฟาโรห์พูดกับเจ้าว่า ‘จงทำสิ่งมหัศจรรย์พิสูจน์ให้ข้าเห็นสิ’ เจ้าจงบอกอาโรนว่า ‘หยิบไม้เท้าโยนลงต่อหน้าฟาโรห์ แล้วมันจะกลายเป็นงู’”
- อพยพ 7:10 - ดังนั้น โมเสสและอาโรนจึงไปหาฟาโรห์ และทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าสั่ง อาโรนโยนไม้เท้าลงต่อหน้าฟาโรห์และข้าราชบริพารของท่าน
- อพยพ 7:11 - ฟาโรห์จึงเรียกตัวบรรดาผู้เรืองปัญญา พวกที่ใช้เวทมนตร์ และพวกที่ใช้วิทยาคมของประเทศอียิปต์ใช้อาคมของตนทำเช่นเดียวกันด้วย
- อพยพ 7:12 - ทุกคนโยนไม้เท้าของตนลง มันก็กลายเป็นงู แต่ไม้เท้าของอาโรนกลับกลืนไม้เท้าของคนเหล่านั้นเข้าไป
- อพยพ 7:13 - แม้กระนั้นจิตใจของฟาโรห์ก็ยังแข็งกระด้าง ไม่ยอมฟังท่านทั้งสอง ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้
- อพยพ 7:14 - พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จิตใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง เขาไม่ยอมปล่อยให้ประชาชนไป
- อพยพ 16:35 - ชาวอิสราเอลรับประทานมานาเป็นเวลา 40 ปี จนกระทั่งเคลื่อนย้ายมาถึงดินแดนที่จะตั้งรกรากอยู่ได้ พวกเขารับประทานมานาจนเดินทางมาถึงชายแดนของดินแดนคานาอัน
- อพยพ 14:21 - แล้วโมเสสก็ยื่นมือออกไปที่ทะเล ตลอดทั้งคืนพระผู้เป็นเจ้าทำให้ลมตะวันออกพัดกระหน่ำอย่างแรงและดันน้ำในทะเล ทำให้ใจกลางทะเลกลายเป็นแผ่นดินแห้ง คือน้ำได้แหวกออกจากกัน
- อพยพ 33:1 - ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ตัวเจ้ากับประชาชนที่เจ้าพาออกมาจากอียิปต์จงไปจากที่นี่ ไปยังดินแดนที่เราสัญญาไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบว่า ‘เราจะยกให้แก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า’
- อพยพ 12:41 - ในวันสุดท้ายของปีที่สี่ร้อยสามสิบ เผ่าพันธุ์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ไปพ้นจากแผ่นดินอียิปต์